วันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เกรียนกรึ่มกรึ่ม ตอน ตะลุยอาเขต


                                                          (ต้นฉบับเดือนเมษายน 2556)


ย้อนกลับไปสักหลายล้านปี สมัยที่พวกเด็กหนวดทั้งหลายยังวัยละอ่อน พวกเรายังจำได้ดีว่า พวกเราสารพัดงัดแทบทุกวิธีมาเพื่อจะอ้อนพ่อแม่ให้ซื้อเครื่องเกมให้สักเครื่อง


บางคนก็เอาเกรด 4 มาแลก บางคนแลกด้วยการล้างรถให้ 1 ปี บางคนก็รับจ้างนวดฝ่าเท้าให้กับคนในครอบครัว คือมันพอจะงัดความเหนื่อยยากลำบากออกมาแลกได้ เพราะเรารู้ครับว่ามันเอื้อมถึง หากคราใดท้อก็เปิดเพลงศรัทธาของพี่โป่งคลอกันไป


จะเป็นเครื่องเกมแฟมมิลี่ แฟมมิคอม เครื่องเพลย์ อะไรก็จัดไป อดทนแลกไม่นานก็ได้เชยชม แต่ในยุคนั้นครับ มันมีเครื่องเกมชนิดนึงที่ไม่ต้องคิดจะเอื้อมเลยครับ ขอให้ตายยังไงพ่อแม่ก็ไม่หามาให้แน่ๆ



มันคือ “เกมตู้!!!”



ทุกครั้งที่ไปเดินห้าง กล้าพูดอย่างเต็มปากว่า เด็กทุกคนลงถ้าได้เห็นโซนที่เต็มไปด้วยตู้เกมเรียงกันเป็นสิบ เด็กจะเกิดอาการหน้ามืดครับ ตาโต สะบัดมือพ่อแม่ แล้ววิ่งเข้ากลางดงตู้ไปในทันที 





ดูเผินๆ เหมือนโดนของ และแน่นอนพ่อแม่จะเริ่มรู้ชะตากรรม ควักกระเป๋าตังค์ขึ้นมาดูเศษเหรียญทันที ยังไงก็ต้องโดนแน่ๆ อย่างน้อย 2 เหรียญ ถ้าไม่มีก็ต้องแลก เพราะมันเป็นไฟท์บังคับ ถ้าไม่ได้เล่นพรุ่งนี้จะคุยกับเพื่อน  ไม่รู้เรื่อง



เกมตู้เป็นความคลาสสิกอย่างนึงในชีวิตวัยเด็กจนถึงวัยรุ่นของใครหลายๆ คน ผมเชื่อแหละว่าทุกคนต้องเล่นแล้วติด และจะคิดในใจว่า ตู้ไหนที่เราชอบมากๆ นี่ มันน่าจะถอยมาตั้งไว้ที่บ้านจริงๆ



แต่มันก็ทำไม่ได้ครับ ด้วยเหตุผล 3 ข้อดังนี้



ข้อ 1 มันแพงมากกกกก...... เรื่องราคานี่ผมไม่ชัดเจน รู้ว่าหลายหมื่นขึ้นแน่ๆ ราคาขนาดที่ซื้อเกมเพลย์ได้สักเครื่อง กับแผ่นเกมอีกเป็นร้อย มีเงินอย่างเดียวซื้อไม่ได้!!! ต้องชอบล้างผลาญด้วยยยยย



ข้อ 2 มันไม่ได้บรรยากาศ!!! ความคลาสสิกของเกมตู้ก็คือ มันต้องเล่นประจานท่ามกลางฝูงชน เน้นการเล่นโชว์มากกว่าเล่นด้วยกัน


ให้แบกมาเล่นที่บ้านมันไม่ได้ฟิล บรรยากาศบ้านมันไม่ใช่ มันไม่มีเด็กคอนแวนต์น่ารักๆ คอยมายืนมอง หันไปเจอแต่อากงอาม่า ยิ่งถ้าอยู่คนเดียวนี่จะเล่นให้ผีบ้านผีเรือนมุงเล่นหรืออย่างไร



และข้อ 3 มึงจะบ้าเหรอออออ!!!!


ไม่ต้องเหตุผลแล้ว เรื่องของอารมณ์ล้วนๆ เอาเกมตู้มาตั้งในบ้าน คิดมาได้!!! ไอ้พวกซื้อแอบโดมิไนเซอร์ว่าบ้าแล้วนะ เกมตู้นี่บ้ากว่า แอบโดเล่นเบื่อแล้วยังเอามาตากผ้าได้ แต่เกมตู้นี่เอามาตากผ้ายังไม่ได้เลย เข้าใจมั้ยเนี่ย!!!!




ผมยอมรับว่าครั้งนึงติดเกมตู้มากๆ โดยเฉพาะเกมต่อสู้ Street Fighter 2 , The King of Fighter , Tekken ทั้งที่เกมพวกนี้ผมเล่นที่บ้านก็ได้ เล่นตามร้านก็ได้ แต่มันไม่เหมือนกัน คืออยู่ที่บ้านมันไม่ได้โยก.......





ผม ใช่ ผมหลงเสน่ห์แท่งโยกนั่นอ่ะครับ มันเป็นแท่งที่มีความศักดิ์สิทธิ์ มันมีความรู้สึกที่จอยกดมือให้ไม่ได้ มาคิดตอนโตว่า ใครวะตั้งชื่อเป็นคนแรกว่า “จอยโยก” ทั้งที่จริงๆ มันก็มีศัพท์ทางการของมันว่า “จอยอาเขต” 


แต่ยังไงก็ขอบคุณมากครับที่ไม่เรียกว่าแท่งโยก เพราะมันจะอุบาทว์มาก



จอยโยกเป็นจอยที่เล่นมั่วได้มันส์มากครับ เหมือนออกแบบมาให้คนที่เล่นไม่เป็นไม่ต้องเจ็บหนังนิ้วเหมือนจอยมือทั่วไป จอยปกตินี่ถ้าจะมั่วนี่ ถูจนหนังนิ้วแทบถลอก ท่าไม้ตายที่ออกก็น้อยซะเหลือเกิน 



แต่จอยโยกนี่มั่วสไตล์เกมโชว์เลยครับ หมุนๆ ตบๆ กันให้ตายไปข้างนึง ในจอจับทางไม่ถูกว่าแย่แล้ว นอกจอนี่แย่กว่า ต้องคอยหลบศอกมหาประลัย มันจะฟันกกหูเราเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ 


เหมือนเกมหลังๆ เค้าก็ทำคอมมานด์มาเอาใจพวกนี้นะ ชอบหมุนๆ ตบๆ หลายปุ่มนัก ให้กดท่าไม้ตายหมุน 3 ปุ่มเลย!!! มั่วยังไงก็ออกแน่ พอท่าออกทีโดดยังกะถูกหวย


ชนะพวกนี้ถือเป็นเรื่องปกติครับ แต่ถ้าแพ้ขึ้นมาเข้าขั้นเสียหมีแพนด้าเลยทีเดียว เคยโดนมาที เฟลเป็นอาทิตย์ ถึงขั้นประชดว่าจะกลับไปตั้งใจเรียน



จอยโยกของแท้ มันต้องติดกับตู้เท่านั้นครับ ใครที่ซื้อกลับไปต่อเครื่องเล่นที่บ้านล้วนยอมรับเป็นเสียงเดียวกันครับว่า ไม่เวิร์ค มันโยกได้ไม่เต็มร้อย ฐานมันไม่แน่น โยกหนักๆ ทีจอยก็ลอยตาม ลองเอากาว 2 หน้ายึดก็เอาไม่อยู่ ไอ้ครั้นจะสกรูยึดพื้นเลยก็เกินไป


สุดท้ายเลยจบที่ต้องเอาฝ่าเท้าทั้ง 2 ข้างมาช่วยหนีบไว้ เล่นไปนานๆ เกร็งเกินไป ตะคริวกินขาอีก สุดท้ายอย่าแปลกใจถ้าตามหนังสือเกมคอลัมน์ฝากขาย จะมีจอยโยกสภาพดีมากขายเกลื่อนกลาด เพราะมันใช้แล้วเสียสุขภาพแบบนี้แล



นอกจากจอยโยกที่เป็นคู่บุญกับเกมตู้แล้ว ยังมี "จอยปืน" อีกที่น่าตื่นตาตื่นใจซะเหลือเกิน


เพราะมันเป็นความฝันของเด็กที่อยากจะจับปืนจริงๆ ยิงหัวกบาลใครสักครั้ง แต่ก็ทำไม่ได้ เล่นอยู่บ้านเต็มที่ก็ง่ามหนังสติ๊ก หรูหน่อยก็ปืนไม้ไอติม ไฮโซขึ้นมาอีกก็ปืนยิงเป็ดเครื่องแฟมมิลี่ 


ซึ่งไอ้ยิงเป็ดนี่ก็ผลิตมาได้เสียของมาก อุตส่าห์มีจอยปืนทั้งที เสือกสร้างเกมมาให้แค่ยิงเป็ด!! มันเท่ห์ตรงไหนวะ ซอมบี้ 8 บิทพวกเราก็รับกันได้นะโว้ย นี่ให้เล่นเก่งจะอวดใครเค้าได้


เซียนยิงเป็ด!! ชื่อทุเรศมาก เกมนี้จึงเหมาะมากสำหรับการบอกโลกให้รู้ว่า เรามีจอยปืนแล้วนะ แค่นี้จริงๆ สุดท้ายถอดจอยออกมาไล่ตีหัวเพื่อนสนุกกว่าเยอะ



เกมตู้ยิงปืนที่ผมจำได้จริงๆ ก็มีเยอะนะ แต่ที่ตรึงตาตรึงใจจริงๆ ขอยกให้เกมยิงผี (ขออภัยชื่ออังกฤษจำไม่ได้จริงๆ อะไรเฮ้าส์ๆ นี่แหละ มันเรียกยิงผีจนชินปาก) ที่มันติดตาเพราะเกมอื่นยิงโป้งเดียวตายไง


แต่ยิงผีนี่ได้เบิ้ลตู้มๆ พอใจจะยิงตรงไหนก็ยิง อยากทรมานหน่อยก็ยิงแขนมันก่อน แล้วค่อยไล่มายิงตัว อยากเอาเท่ห์ก็สอยหัวอย่างเดียว เคยไปยินดูเซียนเค้าเล่น บ่องตงว่าอิจฉามันมาก ยิงแต่หัวอย่างเดียว 


ยิ่งเห็นเด็กเรียนพิเศษน่ารักๆ ไปยืนมองมันเล่น ยิ่งอิจฉา!! นี่มัน!! นี่มันความฝันอันสูงสุดของตูเลยนะเว้ย!! ไอ้เกมเมอร์อาเขตระดับกากอย่างเราก็ได้แต่ยืนปาดน้ำลายไป


แหม่เอ้ย ถ้าไอ้ตู้นี้ไม่ใช่ยิงผี แต่เป็นยิงเป็ด ภาพพจน์มันคงไม่ออกมาเยี่ยงเทวดาแบบนี้หรอก



เมื่อก่อนนี่ เกมตู้นี่แทบจะเป็นศัตรูระดับฆ่าล้างโคตรกับครูฝ่ายปกครองเลยครับ ครูใหญ่โรงเรียนผมนี่ เคยออกมายืนพูดเรื่องนี้หน้าเสาธงได้เป็น ชม.


พูดประมาณว่าใครเล่นเกมตู้นี่เสียคนแน่ๆ เป็นเด็กเลวที่ไม่มีอนาคต บลาๆ พูดอะไรมาเข้าตัวผมหมดเลย แกยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกมตู้มันเป็นเกมอะไร เดาว่าแกคงติดภาพมาจากตู้ม้า เลยเหมาว่าคนเล่นเกมตู้ก็เหมือนเล่นการพนัน แล้วคนเล่นการพนันก็คือคนไม่ดี นั่นเอง!!!!!


เหยดดดด ตรรกกะระดับครูใหญ่!!!!




แต่ก็ยอมรับครับว่า ผมก็เกือบๆ จะเสียคนเพราะเล่นแต่เกมตู้มากไปจริงๆ แต่ยังไงเกมมันก็ไม่ผิดอยู่ดี มันผิดเพราะเราเล่นมากเกินไป ไม่ถึงกับต้องเลิก แค่แบ่งเวลาไปเรียนบ้าง..... คือเล่นเกมเป็นหลักนะ แล้วแบ่งเวลาไปเรียนบ้าง


เอะยังไงวะ นี่คือแนวคิดของคนเรียนเอาผ่านนะ ถ้าจะเอาเรียนเก่ง ให้ทำสลับกัน



มาถึงยุคนี้ เกมตู้ตามห้างดูเงียบเหงามากเลยครับ เหมือนมันผ่านจุดสุดยอดในบ้านเรามาแล้ว แต่ให้เดินผ่านทีไร ก็อดคิดถึงไม่ได้ทุกที จนบางครั้งทนไม่ไหวต้องไปเล่นสักเหรียญ แล้วก็ตายตั้งแต่ด่านแรก..... อย่างอนาถสุดๆ



สงสัยต้องกลับมาตีมอนสเตอร์เหมือนเดิม



วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เกรียนกรึ่มกรึ่ม ตอน หัวเกรียนให้ถูกทาง


(ต้นฉบับวันที่ 9 ส.ค. 2556)


ตั้งแต่เขียนคอลัมน์ “เกรียนกรึ่ม กรึ่ม” มาได้สักพักนึง มีอยู่คำถามนึงครับ ที่โดนถามบ่อยมาก นั่นคือ


“พี่!! ถ้าผม (.....................) จะเรียกว่าเกรียนหรือเปล่า”


คำในช่องที่ผมเว้นว่างไว้ แล้วแต่บุคคลเลยครับ ว่าจะทำอะไร ซึ่งก็มีหลากหลายไอเดียให้เลือกซื้อยังกะซุปเปอร์มาร์เก็ต ตั้งแต่เบสิกยันแอดวานซ์


“พี่!! ถ้าผมตะโกนด่าคนในร้าน!!! จะเรียกว่าเกรียนหรือเปล่า”

“พี่!! ถ้าผมวาดการ์ตูนในข้อสอบ!!! จะเรียกว่าเกรียนหรือเปล่า”

“พี่!! ถ้าผมวิ่งขึ้นบันไดเลื่อนตัวที่เลื่อนลง!!! จะเรียกว่าเกรียนหรือเปล่า”

“พี่!! ถ้าผมเล่นเกมในโรงหนัง!!! จะเรียกว่าเกรียนหรือเปล่า”

“พี่!! ถ้าผมเดินไปสวนตูดเพื่อนกลางสยาม!!! จะเรียกว่าเกรียนหรือเปล่า”


………………ฯลฯ และอีกหลากหลายไอเดีย ที่คนปกติเค้าไม่ทำกัน


อ่านไปก็เพลินไป ก็คิดในใจว่า โลกเรานี่มันก็ร้อนขึ้นทุกวันจริงๆ ยิ่งไอ้คนที่วิ่งขึ้นบันไดเลื่อนลงนี่ ท่าจะอาการหนักกว่าเพื่อน


กลับมาที่คำถามดีกว่า ถามว่าพฤติกรรมเทือกๆ นี้มันเกรียนมั้ย


มันอยู่ที่ความเชื่อของคุณน่ะ คุณเชื่อว่ามันเกรียนหรือเปล่า ถ้าเชื่อ คุณก็เกรียน!!! มันเกรียนเพราะไอ้สิ่งที่คุณทำเนี่ย มันไม่มีเหตุผลอะไรไปมากกว่า อยากเกรียน!!


การทำอะไรเกรียนๆ ไม่ต้องยิ่งใหญ่อลังการครับ ไม่ต้องเป็นข่าว ไม่ต้องอัดคลิป บางทีมันเป็นสิ่งเล็กๆ ง่ายๆ เช่นการใส่น้ำปลาลงในขวดชาเขียว เอาสติกเกอร์แว๊กซ์ขนหน้าแข้งเพื่อน หรือเอาไอติมไปย่างบนเตาหมูกระทะ


เล็กๆ น้อยๆ เราก็เกรียนกันไป แต่ทั้งนี้ จะมีประโยคนึงที่ผมจะพูดเตือนคนรอบข้างผมไว้เสมอว่า


“เกรียนที่ดีจะต้องไม่ทำให้ใครเดือดร้อนครับ นอกจากตัวเอง”



ผมว่ามันเป็นข้อสรุปเรื่องเกรียนที่ดีมากๆ และก็ถ้าทุกคนทำได้แบบนี้ เชื่อว่าจักรวาลของพวกเราจะมีความสุขไปยันดาวอุลตร้าแมน และดาวนาแม๊ค


เพราะไม่ว่าการจะทำอะไรสักอย่าง ต้องอยู่ในพื้นฐานของการเอาใจเขามาใส่ใจเราเสมอ ยกตัวอย่างจากข้างบน




ถ้าผมตะโกนด่าคนในร้าน!!! จะเรียกว่าเกรียนหรือเปล่า??? 

ด่าน่ะด่ายังไงล่ะครับ ด่าเอาฮา โวยวายระบายออกในเกม หรือจงใจหาเรื่องนอกจอ ถ้าตั้งใจหาเรื่องนอกจอ คุณเป็นเกรียนที่แย่




ถ้าผมวาดการ์ตูนในข้อสอบ!!! จะเรียกว่าเกรียนหรือเปล่า????

คุณวาดแล้วทำข้อสอบหรือเปล่าล่ะครับ ถ้าวาดอย่างเดียวก็แย่นะเออ



ถ้าผมวิ่งขึ้นบันไดเลื่อนตัวเลื่อนลง!!! จะเรียกว่าเกรียนหรือเปล่า???

ตอนวิ่งมีใครขวางทางคุณอยู่รึเปล่าล่ะครับ ถ้ามันไม่ได้กีดขวางทางใคร ก็ยังได้อยู่ แต่ถ้าคุณไปวิ่งขวางทางสร้างความรำคาญให้ใคร คุณก็เป็นเกรียนที่ไม่ได้เรื่อง


ถ้าเล่นเกมในโรงหนัง เล่นตอนไหนล่ะ ถ้าตอนหนังฉาย คุณก็เกรียนได้เลวมาก


หรือถ้าคุณไปสวนตูดเพื่อน แล้วคุณรับผิดชอบชีวิตเขา พาพ่อแม่มาสู่ขอแต่งงานให้เป็นเรื่องเป็นราว คุณก็เป็นเกรียนที่ดี เคลียร์มั้ย


คำว่าเกรียน ในแต่ละสังคมมองต่างไม่เหมือนกัน คนส่วนใหญ่จะติดภาพเกรียนจากร้านเกม


ให้นึกภาพแรกของเกรียน เกมกับเกรียนจะตีคู่กันมาเลย จะมีสักกี่คนที่จะแยกเกรียนออกจากเกม และสามารถสังเกตได้เหมือนกันว่า คนไม่ได้เล่นเกมมันก็เกรียนได้


ในฐานะที่ยอมรับครับว่า ผมเองก็เป็นเกรียนคนนึง แถมยังเคยเป็นเกรียนที่ไม่ดีมาก่อน


เคยขโมยกันดั้มตามห้าง แย่งเด็กต่อเลโก้ เคยยกพวกไปทะเลาะกับบอร์ดการ์ตูนญี่ปุ่นก็ทำมาแล้ว วาดนกเพนกวินลงไปในบัตรเลือกตั้งก็ทำแล้ว


ให้ย้อนกลับไปมองตัวเองยังถึงกับอุทานว่า

โอ้ เช็ดจระเข้!!! กูทำเหี้ยอะไรลงไปเนี่ย...!!!!!


ผมเชื่อนะว่า เหล่าเกรียนทั้งหลายน่ะรู้ตัว ว่าตัวเองน่ะโคตรเกรียนเลย และผมก็เชื่ออีกว่า ไม่มีเกรียนคนไหนที่เป็นเกรียนที่ดีได้ตลอดเวลา


ประเด็นคือ ถ้าจะให้มีคนที่เดือดร้อนเพิ่มขึ้นนอกจากตัวเอง ขอให้เป็นความเดือนร้อนที่เล็กๆ น้อยๆ ก็พอ อย่าให้เกิดการสูญเสีย


เกรียนกับเลวนี่ ห่างกันแค่เส้นบางๆ เท่านั้น เลยเส้นไปนิดเดียวก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้แล้ว


แต่โลกเรานี่ก็ขาดเกรียนไม่ได้นะผมว่า โลกเรามันจะสงบสุขเกินไป จะให้เล่นเกมแล้วหัวเราะคิกๆ สนุกจุงเบย อัพแว้ว ผมก็ไม่เอาว่ะครับ


หรือจะให้เข้าโลกโซเชียลแล้วมีแต่คนพูดเพราะๆ เปี่ยมไปด้วยเหตุผลปนความรู้ทุกคน ผมอยู่ในโลกแบบนี้ไม่ได้ว่ะครับ มันเป็นคนดีเกินไป โลกในฝันผมมันไม่ได้สวยงามด้วยกลีบซากุระคลอโรฟิลด์ขนาดนั้น


ผมเคยนั่งคุยกับกลุ่มญาติผมนะ แบบว่า คนดีเข้าเส้นเลือดอ่ะ ไม่ใช่ไม่สนิทกันนะ รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ทรงคนดีแบบนี้ ผมคุยด้วยแล้วอึดอัดเกิ้น ไม่หยาบคายเลย ไม่ทะลึ่งเลย คุยเรื่องรีแลกซ์ แต่เป็นทรงจริงจังกึ่งสัมภาษณ์ อึดอัดมาก


แต่ก็เอาตัวรอดมาด้วยการตอบ 2 ประโยค นั่นคือ


“เรื่อยๆ ครับ” กับ “อ๋อ ก็ดี”

“เล่นเกมอะไรบ้างมั้ย” “เรื่อยๆ ครับ”

“สนุกมั้ยครับ” “อ๋อ ก็ดี”

“แล้ว....” “เรื่อยๆ ครับ”

“ยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะครับ” “อ๋อ ก็ดี”



เหมือนคุยกับสัตว์ประหลาดในบรรยากาศมาคู...... คือเป็นคนดีจริง ไม่เถียง ทุกคนชอบคนดีอยู่แล้ว แต่หาความน่าสนใจอะไรไม่เจอเลย มันขาดสีสันอย่างรุนแรง


โลกของผมมันต้องเถื่อนบ้างครับ ห่ามบ้าง บ้าบอบ้าง พอขำๆ ไม่ทำอันตรายใคร ดูแล้วแบบ โห.... ไอ้นี่บ้าดีว่ะ มันคิดได้ยังไงวะ


เกรียนถึงจะดูโง่ๆ แต่ก็มีความสร้างสรรค์ในเรื่องโง่ๆ นะครับคุณ ถึงจะกาก แต่ก็เป็นกากเพชรนะ ฟังดูน่าภูมิใจมั้ย


มาถึงคำถามที่ยังคาใจทุกคนว่า แล้วจะเกรียนยังไงถึงจะถูกทาง ผมตอบง่ายๆ เลยครับ


“เราต้องเกรียนเพื่อความเอนเตอร์เทน”


ไม่ใช่ไปทำให้ใครเดือดร้อน แล้วมาภูมิใจว่าเกรียน อย่างนั้นมันเดือดร้อนกันหมดครับ ผมโกรธแน่ถ้ามีใครสักคนมาบอกว่า นิสัยเกรียนกับนิสัยเลวเป็นสิ่งเดียวกัน 


ผมจะกระโดดยันหน้าแม่มเลย นั่น..... เห็นมั้ย เลวแล้วนะนั่น บอกแล้วว่าห่างกันนิดเดียว เชื่อยัง


ทีนี้ เหล่าเกรียนจะปรากฏตัวที่ไหน..... ท่ามกลางสังคมครับ สังคมที่เต็มไปด้วยคนมากมาย พวกเราจะเป็นความแตกต่างให้กับที่แห่งนั้น เกรียนด้วยใจที่อยากเอนเตอร์เทน ถ้าจะมีใครเดือดร้อนสักคน ขอให้เป็นเพื่อนสนิทคุณละกัน อย่างน้อยก็น่าจะเคลียร์กันได้ (อ้าว)


หากร้านเกมมันเงียบนัก..... จงลุกขึ้นประกาศศักดา ร้องเพลงปลุกใจ แต่อย่าด่าใคร


หากการตอบข้อสอบมันน่าเบื่อ....... จงตอบในสไตล์คุณ อย่างน้อยครูก็ยังให้คะแนนคุณได้


หากการขึ้นบันไดเลื่อนมันน่าเบื่อ....... จงวิ่งอยู่กับที่ จะหันหลังก็ได้ อย่างน้อยก็ไม่ไปชนใคร แถมยังดูโง่ดีด้วย


หากการนั่งดูหนังในโรงมันเหมือนคนอื่นจนเกินไป..... ออกไปนอนดูตรงทางเดินข้างๆ มั้ย ไม่มีแสงมาแยงตาใครด้วย


และสุดท้าย.... หากการทักเพื่อนด้วยวิธีปกติมันธรรมดาไป ไม่ต้องถึงขั้นสวนตูด มันรุนแรงไป ดูอับอายด้วย


มีหลายวิธีให้เลือก จะลูบหลัง ดึงติ่งหู นวดคอ ล้วงกระเป๋าหลัง หรือจะทำพร้อมๆ กันก็ไม่ผิด เพราะสนิทกัน


เห็นมั้ย ลงถ้าได้คิดสักหน่อย ก็ไม่ต้องมานั่งกังวลแล้วว่า มันเกรียนหรือเปล่า คุณกังวลเพราะคุณรู้สึกว่ามันไม่ดี 


ผมเกลียดมากเวลาใครมาบอกว่า เกรียนคือนิสัยไม่ดี เพราะผมก็รู้สึกว่า ผมก็เป็นเกรียนคนนึง แล้วก็ผูกพันกับเกรียนมากๆ ด้วย


ก่อนจะทำอะไรเกรียนๆ หยุดคิดเยอะๆ เถอะครับ เชื่อผม ไอ้การไปทำอะไรไม่ดี ทำให้ใครเดือดร้อน แล้วมาอ้างว่าก็กุเกรียนนี่...... ไม่แมนเลยครับ เหตุผลโง่มาก เพราะถ้ามีคนมาทำแบบนี้กับคุณบ้าง คุณก็คงไม่ชอบเหมือนกัน


เกรียนให้ถูกทางครับ ทุกวันนี้เอียนมาก เวลาได้ยินคนด่าเกรียนแล้วไหลพาลไปโทษว่าเพราะเล่นเกม  มันมั่วไปหมดแล้ว


ทั้งที่เกมไม่ได้ผิดอะไรเลย..... ทั้งคนด่าคนทำมันก็รู้อยู่แก่ใจนะ












วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เกรียนกรึ่มกรึ่ม ตอน ชาวโซเชียลผู้โหยหา


( ต้นฉบับปี 2556 )

มิตรสหายท่านที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้เคยบอกผมว่า ใครที่ติดอยู่ในโลกออนไลน์มากๆ โดยเฉพาะโลกโซเชียล มันผู้นั้นลึกๆ แล้วช่างเป็นคนขี้เหงาไซร้... 




อืม..... พอเติมไซร้ต่อท้ายแล้วดูเป็นกวีขึ้นมาทันที ความหมายก็ไม่รู้ว่าเติมไปแล้วได้อะไร ช่างมันเถอะ คิดซะว่าแมวพิมพ์


ไอ้ความเหงาเนี่ยนะครับ ผมว่าเพื่อนเยอะเพื่อนน้อยไม่เกี่ยว เพราะมันเกี่ยวกับเรื่องอารมณ์โดยตรง มันเป็นอารมณ์ที่แบบว่า อยากได้คนมาสนใจ อยากให้คนมาถามไถ่ อยากให้คนมาพูดถึง หรืออยากให้คนมารุมกินโต๊ะอะไรสักอย่าง ซึ่งสุดท้ายแล้วเราจะรู้สึกฟิน รู้สึกสำคัญกับการที่โดนรุมทึ้งทางตัวหนังสือ ไม่เหงาบนโลกออนไลน์อีกต่อไป


หากมีคนบอกว่า หิวเมื่อไหร่ให้ไปเซเว่น แต่ถ้าเหงาเมื่อไหร่ก็ลองเอามุขพวกนี้จัดไปอย่าให้เสีย ถ้ายังไม่ฟินก็ไปกระโดดถีบขาคู่ใส่มิตรสหายท่านนั้นได้เลย... 


อย่าลืมถีบแบบปั่นไซร้ด้วย (ปัดโธ่ว้อย จะเติมไซร้ทำไมวะ กวีเรี่ยราดจริงๆ)



โสด-มีแฟนแล้ว : หรือ มีความสัมพันธ์อันซับซ้อนซ่อนเงื่อนพิรอด 85 ตลบ ประกาศมันออกไป ทั้งที่ความจริงก็ไม่มีอะไร ยังนั่งแกว่งไข่อยู่หน้าจอเหมือนเดิม 


แต่เชื่อเถอะว่าประกาศไปแบบนี้ยังไงก็ต้องมีคนสนใจ บางคนรู้อยู่แล้วว่ามันโสด พอมันประกาศว่าโสด ยังงงเลยว่าไม่รู้จะไปตื่นเต้นกับมันทำไม พวกมีแฟนแล้วก็อย่าไปบอกว่ากับใคร อยู่เฉยๆ ให้เค้ามาถาม จะแลดูเหมือนเป็นเซเลปให้สัมภาษณ์ พร้อมกับเฉลยว่าแค่สร้างกระแสเฉยๆ หรือตบมุขว่าคบกับสาว 2D ชื่ออาเบะก็ไม่เลว เอาฮากันไป แต่อย่าใช้บ่อยละกัน เล่นบ่อยๆ นอกจากกร่อยแล้วยังน่ารำคาญอีกต่างหาก



ก่อดราม่าดิบๆ : มุขนี้ต้องมีสตอรี่พอสมควร แต่งัดเอามาใช้ทีไร คุยกันยาวทุกที บางทีเราไม่ได้ทะเลาะกับใครหรอก แต่มันต้องบิวท์ขึ้นมา


ง่ายๆ เลยคือเราต้องอารมณ์เสียกับอะไรสักอย่าง คน สัตว์ สิ่งของ ถ้าเลือกคนอย่าเลือกเอาคนแถวนี้ ให้ด่าไกลๆ อย่าเจาะจง เช่นไอ้พวกพิงเสารถไฟฟ้า ตดในรถตู้ กดสเลอปี้ล้นแก้ว อะไรพวกนี้ เอาให้เป้าหมายมาทะเลาะกับเราไม่ได้ เราจะด่ามันอยู่ฝ่ายเดียว


พยายามด่าให้จริงจังระดับชาติที่สุดเท่าที่จะทำได้ เชื่อเถอะว่าคนที่เห็นด้วยกับคุณยังไงก็ต้องเข้ามาผสมโรง เอาให้สนั่นตลาดไปเลยนะแม่ค้า


อ้อ ข้อควรระวัง ถ้าเป็นสิ่งของอย่าด่าไอโฟน ของเค้าแรง อาจเป็นดราม่าจริงๆ ได้ ทีนี้อาจได้หายเหงากันเป็นเดือน



โพสรูปตัวเอง : มุขนี้คุณผู้หญิงใช้บ่อย ทั้งแท้ทั้งเทียมแหละตัวเธอ วิธีนี้ได้รับการยอมรับจากองค์กรอนามัยโลกแล้วว่า ใช้แล้วได้ผลจริง ยืนยันด้วยผลวิจัยซุปไก่จากมหาวิทยาลัยลิงถือลูกท้อ ใช้แล้วไม่มีคนสนใจอมขี้มาพ่นหน้าผมได้เลย


ง่ายๆ  โพสรูปถ่ายที่สวยที่สุดในชีวิตตั้งแต่เกิดมา จะเค้นนม แต่งหน้าตาโต อะไรก็ว่าไป แต่ต้องมาพร้อมกับประโยคบังคับ 


“โทรมจัง” 


ซึ่งมันจะบังคับให้ผองเพื่อนที่ซ่อนตัว และชายหนุ่มหื่นกามทั้งหลายออกมาทำหน้าที่ปลอบใจว่า


“ไม่เห็นโทรมเลย”

“นี่โทรมแล้วเหรอ”

“สวยจัง” “ขนาดโทรมยังสวย....” 


เจ้าของภาพกล่าวขอบคุณเป็นพิธีแล้วก็ฟินขี้แตกกันไป แต่บางคนแค่นี้ยังไม่สาแก่ใจ ทำเป็นไม่ยอมรับ


“นี่โทรมจริงๆ นะ ไม่สวยหรอก” 


จากนั้นบทสนทนาก็ไม่รู้จะไปสิ้นสุดตรงไหน เอาเป็นว่าพอใจเจ๊เมื่อไหร่ก็หยุดละกัน



ยิงการเมือง
: วิธีนี้เหมาะมากสำหรับคนชอบพิมพ์อะไรยาวๆ ไม่ต้องอะไรมาก เลือกมาสักฝ่ายนึง หรือไม่ต้องเลือกก็ได้ ด่า ด่า ด่า ด่า มันเข้าไป!!! แบบนี้!!! 


ไอ้ (ตู๊ด) แม่ม (ตู๊ด) (ตู๊ด) ดูมัน (ตู๊ด) โคตร (ตู๊ด)โคตร (ตู๊ด) (ตู๊ด) โอ้โห (ตู๊ด) สุดๆ (ตู๊ด)มันน่า (ตู๊ด)จะ (ตู๊ด) (ตู๊ด)เฮ้ย (ตู๊ด) เฮ้ย (ตู๊ด) (ตู๊ด) (ตู๊ด) เฮ้ย (ตู๊ด) (ตู๊ด) เฮ้ย เฮ้ย.....!!! 


ว้อย รู้ว่าเซ็นเซอร์เพื่อสุขภาพ แต่เยอะไปมั้ย โอ้ย.... ไม่หรอก ถ้ายังเหงาอยู่นะ แค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ รับรองมาเพียบ 


เพื่อนเหรอ..?? เปล่า ศัตรู!!!!


ลืมบอกไป ตอนนี้เค้าห้ามด่านายกแล้วนะ มีความผิดนะเออ แต่ถ้าด่า นายข นายค ไม่ผิดนะ ด่าได้เต็มที่



ดึงเศร้า : วิธีนี้ไม่ต้องด่าใคร ไม่มีใครเดือดร้อนแน่นอนนอกจากตัวเอง เพราะเราจะด่าตัวเองออกอากาศ 


ดึงเรื่องบ้าบออะไรก็ได้ขึ้นมาสักเรื่อง หน้าไม่หล่อ หม้อไม่สวย กล้วยไม่เด้ง ด่าไป....ดึงเศร้าไป แต่ระหว่างพิมพ์ไม่ต้องถึงขนาดเปิดธรณีกรรแสงไว้อาลัยให้ตัวเอง มันจะเศร้าเกิน อาจอินถึงขั้นกลืนหมากฝรั่งฆ่าตัวตายได้


พยายามเกลียดตัวเองให้มากที่สุด เกลียดตัวเองจัง...... ทำไมนะ.... ทำไมเราถึงโง่ขนาดนี้!!! ใช่สิ!!! ตูมันเลว!! ตูมันโง่!! ตูมันอ่อน!! ตูมันกาก!!! 


จัดไป!! เป้าหมายคือเราต้องการคนเข้ามาปลอบประโลม เห็นใจ รับฟัง แก้ไขปัญหา นำพาประเทศชาติสู่ความเจริญรุ่งเรือง ขนาดนั้นเลยทีเดียว 


ซึ่งทั้งหมดนี้ถ้าดึงเศร้าให้ตายก็ไม่มีใครเข้ามา แนะนำให้ปิดคอมนะ แล้วออกไปวัดดีกว่า เดินจงกลมสัก 150 รอบ เผื่ออะไรๆ มันจะสงบลงบ้าง



เช็คอิน : ขึ้นอยู่กับสถานที่ว่าน่าสนใจแค่ไหน ผมเคยเช็คอินที่บ้าน ปรากฏว่าไม่มีแม้แต่ยุงลายสักตัวที่จะเข้ามาถามไถ่


ก็ไม่รู้จะทำไปเพื่อมะเขืออะไร เหมือนจะบอกให้โลกรู้ว่าไม่มีเงินออกไปเที่ยว ถ้าเช็คที่ร้านอาหารก็เป็นอะไรที่เกร่อมาก เช็คที่โรงหนังก็เยอะแล้ว


ซึ่งผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยลิงถือลูกท้อได้บอกว่า สถานที่ๆ จะทำให้เกิดการสนทนาได้มากที่สุดก็คือ โรงพยาบาล


คำถามเบสิกที่คนต้องเข้ามาแน่ๆ ล่ะคือ มาทำอะไร? อ่ะ แหง.... ถ้ามาร้านอาหารก็ต้องมากิน มาโรงหนังก็ต้องดูหนัง ไม่รู้จะไปถามทำไม แต่มาโรงบาลฯ มันเดาไม่ได้ไงว่ามาตรวจ มาเยี่ยม หรือแวะเข้ามาเยี่ยวเฉยๆ ที่เหลือก็อยู่ที่คุณแล้วว่าจะต่อบทสนทนายังไง 


ผู้หญิงบางคนโพสสั้นๆ ต่อว่า หมอหล่อมาก..... เท่านี้ชะนีก็เข้ามาเต็มโพสแล้ว แต่ละคนแทบจะลากคุณชายหมอลงไปกินในน้ำเลยทีเดียว



Then & Now : หรือจะเรียกว่าบีฟอร์ อาฟเตอร์ อะไรก็ได้ โพสรูปที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต


ที่ยอดฮิตก็ไม่ผอมลง ก็สวยขึ้น แค่ผมยาวขึ้นครึ่งเซนต์ไม่ต้องมาโพส เสี่ยงโดนด่าอาม่าอากงเปล่าๆ


ที่สำคัญคือมันต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากความพยายามจริงๆ นะเออ ไม่ใช่รูปนึงโฟโต้ชอป อีกรูปไม่โฟโต้ชอปนี่ไม่เอานะ


ผอมลงนี่ก็ต้องผอมลงจริงๆ ไม่ใช่รูปนึงไม่แขม่ว อีกรูปนึงแขม่วสุดแรงเกิดนี่ไม่เอานะ


ลองคิดดูว่าถ้าเราทำได้จริงๆ วิธีนี้เราได้ยิ่งกว่าความที่คนจะมาสนใจอีก มันภูมิใจมากๆ เลยนะเออ โอเค ว่าแล้วก็แขม่วพุงแต่งโฟโต้ชอปซะรูปนึง.... ทุ๊ยยยยยย ก็บอกอยูว่าอย่าทำ ข้อนี้จำกัดเฉพาะคนที่ตั้งใจจริงเท่านั้น


แกล้งความจำเสื่อม : อันนี้วิธีส่วนตัว คนอื่นผมไม่รู้นะว่าเคยเล่นมั้ย แต่ผมอ่ะทำบ่อย ฮา....... 


คือบางทีเราอยากจะหาเพื่อนคุยเรื่องอะไรสักเรื่องนึง แต่เราไม่รู้ว่าเพื่อนเรานี่ใครเป็นคอเดียวกับเราบ้าง ก็แกล้งโยนหินถามทางไป ประมาณว่า


“ใครจำสูตรอมตะร็อคแมน 3 ได้บ้าง”


จริงๆ น่ะจำได้ แต่อยากดึงคนเข้ามาคุยด้วยไง ไม่มีใครเข้ามาก็แป้กไป ถ้ามีก็ยาวไป พวกไลค์แล้วหนีขอให้บ้านไฟไหม้ ไม่ได้ต้องการ ไม่ได้โพสรูปโทรมจัง


แต่สุดท้ายนี้ถ้าเป็นไปได้ หาอะไรทำในโลกจริงๆ ของเราดีกว่า วิธีที่กล่าวมานี้มันไม่ได้ยั่งยืนหรอกครับ ใช้ได้พอฟินชั่วคราวเท่านั้นเอง 


บางคนเขาก็อยู่คนเดียวในโลกออนไลน์ได้ เพราะเค้าแทบไม่ได้จริงจังว่าทุกครั้งที่ออนไลน์ต้องมีคนมาสนใจ


เหงาไม่เหงา เราเลือกเองครับ แต่ถ้าเหงาพร้อมกับหิว ให้ออกไปเซเว่นครับ ไปซื้ออะไรกิน แล้วก็นั่งคุยกับหมาหน้าเซเว่นเล่นๆ ก็ได้


รายนั้นน่ะโคตรเหงาเลย.......



วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เกรียนกรึ่มกรึ่ม ตอน มองเห็นแต่เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น



(ต้นฉบับวันที่ 12 มีนาคม 2556)



ว่ากันว่า ความสามารถพิเศษของชาวเกรียนอย่างหนึ่งก็คือ หาเพื่อนง่าย พอๆ กับหาศัตรูสักคน 



เกรียนเป็นสิ่งมีชีวิตที่เข้ากับคนได้ง่ายผิดปกติครับ การสร้างมนุษย์สัมพันธ์ของพวกเขานั้นง่ายมาก นั่นคือเข้าไปเกรียนใส่เลย ส่วนจะได้มิตรหรือได้ศัตรูนั้นก็อีกเรื่องนึง แล้วแต่ฟ้าดินจะประทาน 



ว่ากันว่าอีกที เดี๋ยวนี้โลกของพวกเรานะครับ ตอนนี้มันถูกแบ่งออกเป็น 2 มิติอย่างชัดเจน นั่นคือออฟไลน์ กับออนไลน์ หรือเรียกง่ายๆ ก็ สังคมจริงๆ กับสังคมโซเชียล


แบ่งกันตามอายุเลย ถ้าแก่หงำเหงือกแล้วจะอยู่สังคมจริงๆ ครับ เพราะใช้เน็ตไม่เป็น ไวไฟสำหรับกลุ่มนี้ หมายถึงถังแก๊ส ไม่ใช่สัญญาญเน็ต ส่วนพวกที่ใช้เป็น ถือว่าแอ๊ปเด็กครับ รอดพ้นความแก่ไป 


ช่วงกลางคน วัยทำงานนี่จะหนักออฟไลน์ จะออนไลน์ต่อเมื่อติดต่อเรื่องงาน ส่วนพวกวัยทำงานต้นๆ ก็จะแบ่งครึ่งๆ เลย เดี๋ยวทำงาน เดี๋ยวโซเชียล


ส่วนถ้าเป็นวัยรุ่นนี่ ไม่ต้องคิดครับ ตัวอย่างมีอยู่เกลื่อนโลก พ่อคุณแม่คุณจ้องแต่หน้าจอ  จนตาจะเหลือกไปข้างนึงอยู่แล้ว



เมื่อก่อน การได้คุยอะไรกับใครสักคนโดยไม่เห็นหน้านี่ จัดว่าน่ากลัวเลยนะ อะไรที่มองไม่เห็นมักน่ากลัวเสมอ แต่เดี๋ยวนี้เป็นเรื่องที่โคตรปกติมาก ให้คุยสวิงกิ้งเป็นกลุ่มๆ ก็ไม่มีปัญหา



เมื่อก่อนผมค่อนข้างปิดกันตัวเองมากนะกับเรื่องนี้ จำได้ว่าเล่นเกมออนไลน์ใหม่ๆ ไม่คุยกับใครเลย เดินก้มหน้าก้มตาเก็บเวลอย่างเนิร์ดๆ ใครเดินมาทัก ตูเดินหนี ใครทัก ตูเดินหนีเลย คาแรคเตอร์การ์ตูนญี่ปุ่นมากๆ




อารมณ์คล้ายๆ กับเลือกซื้อของอะไรสักอย่างในร้าน แล้วมีคนเข้ามาบอกว่า ถามได้นะค๊า..... เราก็รีบเดินออกจากร้านเลย เหมือนเป็นคาถาขับไล่ยังไงไม่รู้ 



เคยเดินหนีคนมาก็เยอะ พอมาลองเป็นคนพูดเอง ถึงได้เข้าใจ ตอนผมไปขายหนังสือ เราก็หน้าผูกมิตรเต็มที่เลย แทบจะผูกโบว์บนหน้าอยู่แล้ว 


 “สนใจถามได้นะครับ”


เสียงอย่างนุ่ม ชวนระเบิดประตูหลังมากๆ ลูกค้ากำลังจะจับหนังสือแระ..... พอประโยคนี้ลั่นมา แม่มเดินหนีไปเลย จ้ำอ้าว อ้าว โบกแท็กซี่กลับบ้านเลย อัลไลว้า



ผิดกับบางคนที่แบบ ตรงข้ามเลย จัดมาเหอะ ตูนี่พร้อมจะแอดเพื่อนมนุษย์ได้ตลอดเวลา เปิดรับทั้งมิตรและศัตรู 24 ชม.



ไอ้พวกนี้จุดยืนมันชัดเจนมาก หญิงมาพร้อมผูกมิตร ดุ้นไม่ดุ้นไม่รู้ล่ะ เธอๆ เวลไร ขื่ออะไร เรียนไห..... ไหขื่อบ้านป้าแก พิมพ์ก็ผิดๆ ถูกๆ แต่ถ้ามาเป็นชายด้วยกันนี่ อ่อนแสรด ไฟว้มั้ยนำมาก่อนเลย



ผมย้อนถามตัวเองนะว่า ทำไมตอนนั้นเราไม่สนใจใครเลยวะ เกมเค้าทำมาให้ออนไลน์ ให้มีการแชทกัน ให้มีการเดินตามตูดกัน ให้มีการร่วมมือทำเควส ฯลฯ สารพัด แต่เรานี่ทำตัวยังกะบอท เล่นเกมเหมือนโดนของ ไร้สีสันซะเหลือเกิน



ผมเชื่อว่าหลายคนก็คิดเหมือนผม คือเราไม่รู้ไงครับ ว่าคนที่เข้ามาคุยกับเรา เป็นคนดี ไม่ดียังไง ความกล้าในการพูดคุยมันก็เลยไม่มี ไม่รู้ต้องออกตัวแค่ไหน


แถมบางคนที่เคยเข้ามาชวนคุยนี่ สร้างความประทับใจแรกพบอย่างมว๊ากซะเหลือเกิน แบบนี้


“นาย..... ชื่อไรอ่ะ”


“ชื่อสุรเดช”


“ขอตังค์หน่อยดิ”


มันมาขอตังค์!!! โอ้ ถึงจุดนี้ บางคนก็เดินหนี บางคนก็คุยต่อ


“ไม่มี”


“ไม่มีตังค์เหรอ”


“เปล่า.... ไม่มีอารมณ์จะให้!!!! จะไปไหนก็ไป!!!”


“หนอยแก!! อ่อน!! แสรด!! ไอ้!! กาก!! เกลื้อน!! เรื้อน!! เชื้อราในร่มผ้า!! ซีม่า!! โลชั่น!! จัน!! แก!! เอาน้ำแข็งมาถูหลังชั้นหน่อยซิ!!!!”



จากนั้นทั้ง 2 ก็ด่ากันอย่างเมามันส์ ไม่หนีก็ไฟว้ล่ะวะ มันก็เป็นซะอย่างนี้ หลายคนถึงเลือกที่จะออฟไลน์ตัวเองดีกว่า ปลอดภัยที่สุด เพื่อนตัวเป็นๆ ก็มี ชีวิตไมได้สถิตย์จอตลอดเวลาสักหน่อย



นั่นแหละ กระพ้มเองมันก็เคยคิดแบบนั้น อยู่คนเดียวมันปลอดภัยกว่า แต่ลึกๆ พอได้อ่านหนังสือ เล่นเว็บบอร์ด เห็นคนอื่นที่เขาสนุกกัน พวกที่มีกิลด์ใหญ่ มีเพื่อนพ้อง มันก็อดคิดไม่ได้ว่า แค่การเดินไปขอตังต์เนี่ย เข้าไปด่ากัน เกรียนใส่กัน มันสร้างมิตรภาพกันได้ขนาดนั้นเลยเหรอ



ตอนนั้นผมตั้งใจเลยว่า จะต้องเริ่มก้าวแรกเสียที จะทิ้งอคติทั้งหมดที่มี แล้วคิดใหม่ ทำใหม่ อย่างไร้รอยต่อ ผมจะยื่นมือ 2 ข้างของผมออกไปแบบคุณชายสุขุมแพน ทำหน้าเหนื่อยๆ ง่วงๆ แล้วบอกว่า


“เราจะไปเก็บเลเวลด้วยกัน”



แต่ก็ไม่รู้จะทำได้หรือเปล่า....




ก็อย่างที่บอกครับ การผูกมิตรกันในโลกออนไลน์มันไม่ง่าย แรกพบมีแค่ 2 แบบจริงๆ ไม่ขอตังค์ก็มายืนด่า ถ้าหนีเราก็ป้อด ไอ้จะด่าคืนก็ทำไม่ได้ ทางบ้านมีฐานะและชาติตระกูลที่ดีมาก กินมาม่าโอเรียนทอลทุกวัน 


จำได้ว่าวันนั้น ก้าวแรกของผม คู่กรณีเป็นแอสซาซินหนุ่ม (ไม่คิดจริงๆ ว่าระดับนั้นจะมาขอตังค์ชาวบ้าน) เจอกันที่ไหนไม่รู้ จำได้สถานที่ไม่ได้ มันมาขอตังค์ใช่มั้ย ได้ จัดไป..... 


ดลให้หมดตูดเลย ขอเท่าไหร่ไม่รู้ละ ตูข้าให้หมดเลย 3 แสน



แอสหนุ่ม : “เฮ้ย นาย..... เยอะไป”


ไนท์หนุ่ม : “อ้าว แล้วนายจะเอาเท่าไหร่ จะเอาตังค์ไปทำอะไร”


แอสหนุ่ม : “ไม่รู้เหมือนกันว่ะ....”


ไนท์หนุ่ม : “อ้าว ไม่รู้แล้วมาขอทำไม”


แอสหนุ่ม : “ก็เห็นเค้าขอกัน.... นายเวลเท่าไหร่แล้ว”


ไนท์หนุ่ม : 42


แอสหนุ่ม : “อ่อนว่ะ”


ไนท์หนุ่ม : “ด่าเราไม....”


แอสหนุ่ม : “ไม่ได้ด่า บอกว่านายเลเวลอ่อน


ไนท์หนุ่ม : “แค่เนี้ย”


แอสหนุ่ม : “มันติดปากน่ะ 555 ก็เห็นเค้าพูดกันเยอะ”




กำ..... สรุปคือ ไอ้ที่เราได้ยินมาเป็นเดือนๆ เนี่ย เป็นธรรมเนียมการทักทายเบื้องต้นใช่มั้ยนั่นน่ะ หลงดาร์กมาได้ตั้งนาน


อ๋อ.... ที่แท้เราก็เดินทางพลาดมาตลอด ที่เค้าเป็นเพื่อนกันได้ก็เพราะไปยืนบอกว่าใครอ่อนใครแก่กันนี่เอง ซึ่งแท้จริงมันอาจจะจบสวยแบบนี้ก็ได้



“เฮ้ย นาย อ่อนว่ะ”


“อ่อนแล้วมัยวะ...!!”


“แท๊งให้มั้ย”


“โอเค งั้นเราเป็นเพื่อนกันนะ เย้ๆ”



นึกภาพกลีบดอกไม้สวยงาม จากนั้นทั้ง 2 คนก็คบกัน แต่งงานกัน แล้วก็ระเบิดถังขี้ แลกอ้วกกันอย่างสนุกสนาน มีความสุขในการหาทองจนถึงบัดนี้...... 


ไม่ใช่ว้อย ไม่ถึงขนาดนั้น ก็แค่ผูกมิตรกันไว้เฉยๆ



จากวันนั้นมันทำให้ผมรู้ว่า เวลาเกรียนออกมนุษย์สัมพันธ์เนี่ย เรื่องกวนส้นตีนเป็นเรื่องที่ปกติมากกก คือในสมองมันไม่มีอะไรเลยไง อยากพูดไรก็พูด ทุกวันนี้ผมก็ชินแล้ว ชินตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้


ทุกวันนี้ผมยังโดนทักอยู่เลยว่า ทุกวันนี้ยังใส่หมวกเหล็ก หูปลาออกจากบ้านอยู่หรือเปล่า


ถ้านับๆ เอาตอนนี้ เพื่อนคุยที่ผมรู้จัก ที่คุยกันมานานๆ แต่ยังไม่เคยเห็นหน้าคร่าตากันเลย มากมายก่ายหน้าผากเลยครับ และทุกวันนี้ก็ยังคุยกันอยู่ บางคนก็ยังเกรียนอยู่ บางคนไปรักษาที่ถ้ำกระบอกมาแล้ว 


จากในเกม ขยับมาคุย msn แล้วก็ย้ายมาต่อใน Facebook บางคนก็ไปเจอหน้ากันตามงานมาแล้ว บางคนก็ได้โทรศัพท์คุยกันเฮฮาก็มี 




นี่แหละครับ สังคมออนไลน์ สังคมที่มีแต่เหล่าเกรียนเพ่นพ่าน ออกอาละวาดกวนส้วนเตียงเค้าไปทั่ว แต่ลึกๆ แล้วพวกเราก็มีความจริงใจให้เหมือนกัน



อาจจะเรียกว่า ถ้าคุณไม่ได้เป็นเหมือนพวกผม คุณอาจจะไม่เห็นมันก็ได้.......