วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2559

เกรียนกรึ่มกรึ่ม ตอน รถไฟฟ้า มาหาอะไร


(ต้นฉบับปี 2557)



เป็นอีกความผูกพันหนึ่งของเราชาวเกรียนนะครับ ไม่ว่าจะมีงานเกม งานการ์ตูน งานหนังสือ งานอีเวนท์ที่ไหน เกรียนสายขี้เกียจเดินทางอย่างผม หรือผองเพื่อนชาวคณะที่ควายในเส้นทางขึ้นมา ใจอยากไปนะ แต่ไปไม่ถูก

และประโยคคลาสสิคก็จะบังเกิดขึ้น "รถไฟฟ้าผ่านมั้ยวะ"

ถ้าคำตอบคือผ่าน ความรู้สึกแม่งจะเหมือนเจอแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เลยทีเดียว ถึงจะไม่เอะใจเลยว่าหลังจากลงรถไฟฟ้าแล้วจะต้องไปต่อรถอีก 3 คัน วินเข้าซอยอีก 1 ต่อแค่ไหน 

แต่พอได้ยินคำว่า "รถไฟฟ้าผ่าน" ทำไมความรู้สึกอยากไปมันบังตาขนาดนี้ รู้สึกว่าการเดินทางดูง่ายดายขึ้นมาทันที



รถไฟฟ้าจัดเป็นพาหนะหลักของคนกรุงเทพ เป็นยานพาหนะที่ทำให้ผมถามตัวเองเสมอว่ากูไปทำขับขี่เพื่ออะไร เพื่อให้รู้ว่ากูก็มีรถใช่มั้ย วันหยุดไปเที่ยวก็ไม่ได้ใช้

โดยเฉพาะเที่ยวในเมืองวันหยุด  ออกถนนใหญ่ไปเท่านั้นแหละ คิดถึงพี่วินขึ้นมาทันที รถจะเยอะกันไปไหน อืม แสดงว่าคนคิดเหมือนกันเยอะมาก 


ความรู้สึกเหมือนถนนเป็นเกมเทอทริส แล้วรถกูเนี่ยเป็นตัวต่อที่ลงมาถมที่ สรุปวันหยุดเราก็ได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่าบนท้องถนน กลับบ้านไปรู้สึกเหนื่อยกว่าไปทำงาน


ไม่ว่าที่ไหน รถไฟฟ้าถือเป็นทางออกที่ดีที่สุด 


งานเกมจัดที่พารากอน ป่ะ.... รถไฟฟ้า

จัดที่ไบเทค..... ป่ะ รถไฟฟ้า

จัดที่ศูนย์ประชุมสิริกิติ์.....ป่ะ รถไฟฟ้า

จัดที่หน้าปากซอย ป่ะ..... รถไฟฟ้า 


ไปนั่งสักรอบนึงแล้วย้อนกลับมา แม่งไปรถไฟฟ้าหมดเหมือนโดนของ บางคนขึ้นรถเมล์ต่อเดียวก็ถึง มายังลงกลางทางเพื่อต่อรถไฟฟ้าเลย เพื่อ!!!  ทั้งที่มึงนั่งคันนั้นยาว ๆ ก็ถึงเหมือนกันโว้ย อะไรเนี่ย ควายแท้ไม่มีวัวปน


ผมก็เคย เพื่อนผมบอกมึงนั่งรถตู้ต่อเดียวก็ถึง เสือกลงกลางทางต่อรถไฟฟ้าทำไม อืม กูอาร์ต ทำไมเหรอ


ทำไม... ทำไม ทำไมต้องเป็นรถไฟฟ้า ก็เพราะมันคือรถไฟฟ้าไง เพราะมันมีแรงดึงดูดบางอย่างมากกว่าการเดินทาง มันมีในสิ่งที่รถส่วนตัว รถตู้ รถประจำทาง หรือรถเมล์ฟรีในตำนานให้ไม่ได้


เอาแค่ชานชาลา เฮด ชาลา ที่อัญเชิญคุณขึ้นไปด้วยบันไดเลื่อนก็โคตรจะไฮโซแล้ว ถึงจะไม่เอะใจกับบางสถานีเลยว่า อืม ขึ้นมาอย่างหรู แต่ตอนลงให้กูเดินลงบันไดปกติ


"ไฮโซ" คำเดียวสั้นๆ เลย สาบานมั้ยว่าคุณขึ้นรถไฟฟ้าครั้งแรกแล้วไม่อวดใคร เก็บไว้เป็นความภูมิใจลึก ๆ ของวงศ์ตระกูล ถ้าใครทำได้นะ ขึ้นยานอวกาศก็คงเฉย ๆ อ่ะ 


ยังไงก็ต้องอวด จะมากจะน้อยก็เท่านั้นเอง บางคนอาจถึงขั้นจัดแถลงข่าวในหมู่บ้าน ตัดริบบิ้นยินดีกันเลย





เพราะความเป็นรถไฟฟ้ามันไม่เหมือนใคร มันมีเอกลักษณ์ที่ต้องจดจำ เอาแค่ไอ้เครื่องกั้นความเร็วสูงก็ตรึงตาตรึงใจตั้งแต่ต้นสถานีแล้ว 


เพราะคุณต้องผ่านมันด้วยความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เรียกว่าคุ้นเคยกับมันเมื่อไหร่  ไปคัดตัวนักวิ่งระยะสั้นได้เลย 


อย่าใช้คำว่าเดินผ่านเลยครับ คุณต้องเคลือนที่ด้วยการโผหรือสปรินท์ตัวเท่านั้นถึงจะรอดจากตัวหนีบทำลายกระดูก   เคยโดนกระแทกมาครั้งนึง เอวยอกเลยมึง  จากนั้นทั้งวันเดินกุมสะโพกตลอด ดูเหมือนไปทำกิจกรรมอะไรมาทั้งคืน


ทุกวันนี้พอเดินผ่านมาได้ความรู้สึกเหมือนรอดตายยังไงไม่รู้ มันจะมีความรู้สึกในใจว่า กูรอดแล้ว


เมื่อผ่านมาแล้วคุณจะไปเจออะไรต่อ มันคือการแย่งชิงจังหวะกันขึ้นรถ ตอนขึ้นไปเห็นดูเหมือนเป็นภาพที่สวยงาม ผู้คนต่อแถวกันตามสัญลักษณ์อย่างเป็นระเบียบ แต่พอรถจอดเทียบเท่านั้นแหละ ไอ้แถวที่จัดไว้แม่งแตกเซลล์ให้เห็นต่อหน้าต่อตา


ตกลงเมื่อกี้อะไร พวกมึงสร้างภาพกันใช่มั้ย สุดท้ายก็เป็นการแย่งชิงจังหวะเข้ารถของมนุษย์ป้า


ที่ผมเห็นวันหยุด ไปเล่าให้เพื่อนที่ทำงานสีลมฟัง มันบอกวันทำงานหนักกว่านี้อีก เหมือนแย่งของน้ำท่วม ทุกวันนี้มันต้องหัดทักษะแทกเกิ้ลของอเมริกันฟุตบอลเพิ่มเติมเพื่อเอาชีวิตรอด เอาไว้กระแทกมนุษย์ป้าให้กระเด็นตกราง


เมื่อเหยียบเข้าไปในรถคุณจะต้องไปเจออะไรอีก มันคือความเย็นระดับแช่แข็งเนื้อ  มึงจะเย็นไปไหน มึงเห็นพวกกูเป็นนกเพนกวินเหรอ  

เสานี่เย็นเจี๊ยบยังกะหวานเย็น เรียกว่าถ้าเดินทางกลางวันแสก ๆ นะ เจอแดดร้อน ๆ มาเจอแอร์เย็นสัส ๆ ออกไปเจอร้อนจัด ๆ อีก ไข้แดกครับ.... ไข้สิแดก


เคยขึ้นรถที่ต้นสายกันมั้ยครับ รถไฟฟ้านี่มันไม่ได้เหมือนรถ ปอ. ตรงที่เมื่อเข้ารถไปแล้ววิ่งหาที่นั่งเสมอไป บางคนแม่งมาเพื่อยืน ยืนตรงไหน 


ตรงกระจก!!! ไอ้กระจกริมที่นั่งนี่แหละ ยืนพิงแม่งเลย เอาตูดแนบอย่างสวยงาม ไอ้คนที่ได้ที่นั่งติดกระจก แลข้างไปเจอบี้เดอะสตาร์ แทบจะขอลายเซ็น  ตูดบี้กระจกตรงหน้าเลย จะเอาแก้มแนบก็คงไม่งาม เหมือนซบตูดมันทางอ้อม 


บางคนก็ไปยืนฝึกการทรงตัวตรงรอยต่อระหว่างโบกี้ บางคนก็ไปยืนพิงเสา


ยืนพิงเสา!! ประเด็นนี้ต้องขยาย นี่แหละปัญหาสังคมที่แท้จริง


จุดประสงค์ของการมีเสาไว้กลางรถไฟฟ้าคือเอาไว้ให้จับหลาย ๆ คน แต่ถ้ายืนพิงมันได้คนเดียวไง เป็นประเด็นเห็นแก่ตัวกันไป


ไอ้เห็นแก่ตัวไม่เดือนร้อนเท่าภาพสะเทือนใจสำหรับคนที่เห็น..... เสาเข้าวิน เข้าไปเลย เข้าไปในร่องตูดเลย ไอ้คนพิงก็เหมือนตั้งใจ เห็นกับตามาแล้ว พอเข้าปุ๊บ แก้มตูดขมิบล็อคทันที


ทีเดียวอยู่นิ่ง มือก็เล่นโทรศัพท์สบายใจเฉิบ พอมันลงไปคนที่เข้ามาใหม่เดินมาจับต่อถึงกับเอะใจ แอร์ก็เย็นแต่ทำไมเสาอุ่น หรือเสาจะ มีฮีทเตอร์ อืม ถ้ารู้ความจริงคงสะเทือนใจ


และอีกโมเมนท์นึงที่ถูกกล่าวขวัญกันเหลือเกินสำหรับมนุษย์ป้ากับรถไฟฟ้า และไอ้เสานี่แหละ มนุษย์ป้าเค้าไม่สนนะครับว่าจะมีใครจับเสาอยู่หรือไม่


เพราะเค้าจะตรงเข้ามายืนพิงหน้าด้าน ๆ เลย ไอ้คนที่จับอยู่นี่เลยโดนแบล๊คโฮลเข้าไปด้วย พิงปั๊บดูดแม่งทั้งเสาทั้งมือ มีเกร็งตอดตุบๆ เล็กน้อย บางคนดึงมือออกสำเร็จ บางคนดึงไม่ออกเดือนร้อนต้องสะกิดป้าให้คลายตูดลงหน่อย โดนโวยหาว่าจับตูดอีก สุดท้ายกลายเป็นไอ้โรคจิต


ส่วนตัวผมใช้รถไฟฟ้าเฉพาะวันหยุด อาจไม่ใช่เพราะมันสะดวกจริง ๆ แต่ก็ยอมรับว่าผมยึดติดว่าจะต้องเป็นรถไฟฟ้า ทั้งที่รถประจำทางหรือรถตู้อาจเร็วกว่า  รู้แต่ว่าถ้าได้ขึ้นรถไฟฟ้าแล้ว  ไม่มีติดแหง่กแน่นอน วิวข้างทางก็สวย รถไฟฟ้าก็มองตึกสวย ๆ


รถใต้ดินมืดไม่เห็นเหี้ยอะไร ก็ส่องหน้าหล่อ ๆ ของตัวเองกันไป เวลานั่งทีก็ลุ้นจะได้เห็นเกงในของสาวที่นั่งตรงข้ามรึเปล่า 


แต่บางคนนั่งทุกวันไปทำงานก็คงเบื่ออ่ะ ผมเคยขึ้นวันธรรมดาเวลาไปทำงาน รู้สึกเลยว่าบรรยากาศแม่งต่างกับวันหยุดเยอะมาก  ทำไมมันตึงเครียดและต้องแก่งแย่งขนาดนั้น


สรุปคือจะเรียกว่าเป็นพาหนะสิ้นคิดก็ได้ ทุกวันนี้พวกเราหลายคนก็เคยตัวนะ จะไปงานที่ไหน


“รถไฟฟ้าผ่านมั้ย” พอไม่ผ่านถึงกับพาลไม่ไปเลย พอบอกต่ออีกรถเมล์มียี้ใส่อีกต่างหาก จะเรียกสะดวกก็ได้ มักง่ายก็ดีเหมือนกัน


ล่าสุดไปขึ้นมาค่าตั๋วเพิ่มแล้ว โห.... แพงตายห่า เริ่มไม่คุ้มละ 


นี่ถ้าพวกมึงขึ้นราคาพร้อมกับทำให้เครื่องกั้นมันช้าลง หรือกำจัดมนุษย์หนีบเสาได้กูจะไม่ว่าสักคำ  ม่างเอ้ย..... แสรด

วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2559

ROซอกหลืบ ตอน RO ยังหวานอยู่ (เปิดตัว RO Variety)


(ต้นฉบับปี 2548)





บันทึกไนท์หนุ่ม 


วันเสาร์ 30 เมษายน 2548 “RO ยังหวานอยู่”

ตัดสายสะดือหนังสือปกดำ “RO Vaiety”




8.30 น.

เนื่องจากเมื่อคืนคุยโทรศัพท์กับเพื่อนถึงเกือบตี 2 ตอนเช้าวันนี้ก็เลยหัวตื้อผิดปกติ รู้สึกตัวว่าตื่นแล้วก็จริง แต่ตามันยังปิดอยู่ พยายามลุกก็ลุกไม่ขึ้น 


เฮ้ย..!! หรือว่าเราจะถูกโพริ่งสุรเดชอำ มันคงแค้นที่เราหลอกให้มันไปลงบ่อน้ำมันแน่ ๆ โอวว… ไม่นะ เข้าใจว่าสรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนหนีไม่พ้นความตาย แต่ตูไม่อยากตายทุเรศแบบนี้ ใครก็ได้ช่วยด้วย!!

ตรี๊ดด…. ตรี๊ด… ตี่ดีดิ๊ด..!! (เสียงมือถือดัง) 


โอว.. ผมถือว่านี่เป็นสัญญาณสวรรค์ชัดๆ ผมสะดุ้งแล้วกระเด้งจากที่นอนทันที แล้วคนที่โทรมาก็ไม่ใช่คนอื่นไกลที่ไหน เขาคือคนที่อยู่หลังคอลัมน์ของผมนี่เอง Soldevi Sage หรือคุณเม่นแว่นที่น้องๆ รู้จักกัน  จะถามเรื่องบูธขายของอะไรนี่แหละ

ตอนนั้นผมเบลอ ๆ บลา ๆ จำอะไรไม่ค่อยได้ แต่เอาเป็นว่าขอบคุณมากละกัน ผมเป็นหนี้ชีวิตท่านเม่นแล้ว ไว้วันหลังจะนั่งขำการ์ตูนของท่านหนึ่งหมื่นครั้งเป็นการตอบแทน แต่ตอนนี้ต้องรีบไปอาบน้ำแต่งตัวด่วนเลย



10.00 น.

ถึงบริษัท Future Gamer 


เงียบมาก… ถ้านอกจากเพื่อนผมที่มารออยู่ก่อนแล้ว นอกนั้นก็ไม่มีใครสักคน จริง ๆ ถ้าเป็นคนอื่นคงไปที่งาน RO แล้ว แต่ผมต้องมาแบกหนังสือจำนวน 300 เล่มไปขายด้วย กว่าท่าน บก. มาถึงก็ประมาณ 11 โมง 

เอาล่ะ เริ่มเดินทางกันได้



11.30 น.

ขณะนี้ผมอยู่บนรถแท็กซี่ ดีใจที่วันนี้รถไม่ค่อยติด ว่าจะเอนหลังแล้วหลับซะหน่อย คนขับก็ดันอัธยาศัยดีผิดมนุษย์มนา 


“ชวนคุยเรื่องถังแก๊ส” 

คุณฟังไม่ผิดหรอก คุยกันเรื่องถังแก๊สจริง ๆ ….แปลกมั้ยล่ะ พูดมาเกือบตลอดทางเลย หลอนมาก ไอ้ผมก็เหลือเกิน ดันคุยกับเค้าซะด้วย ตลกอีกต่างหาก ขำเรื่องถังแก๊ส โอ๊ย… จะบ้า จริง ๆ ไม่ต้องมาเขียนบอกกันก็ได้มั้งเนี่ย   เพราะถึงไม่รู้ก็ไม่มีใครตาย



12.40 น.

ถึงงาน RO แล้ว ตอนนี้ผมอยู่ที่เซ็นทรัลเวิร์ล บรรยากาศเหมือนงานวัดตามที่โฆษณาไว้ไม่มีผิด แต่เป็นงานวัดสไตล์โมเดิล ต้อนรับอโยธยา สีสันสวยมาก  เข้ากับบรรยากาศร้อนตับแตกจริง ๆ  
แต่ผมชอบนะ ชอบตรงที่มีชิงช้าสวรรค์นี่แหละ ดูมันอลังการดี 

ตอนนี้งานยังไม่เริ่ม ผมคงต้องขอตัวไปจัดบูธก่อน



13.00 น.

หนังสือ “RO VARIETY” หลายคนสงสัยว่ามันคือหนังสืออะไร ชื่อเก๋ดี แต่พอรู้ว่าคนเขียนคนเดียวกันกับที่เขียนซอกหลืบ ส่วนใหญ่ทำหน้าไม่ไว้วางใจ  


อืม… ไอ้พวกนี้อีกแล้ว

เรื่องสาระก็อย่าหวังเลยว่าจะได้อ่านกัน แค่เห็นหน้าปกก็ทำลายรอยหยักในหัวสมองไปเยอะแล้ว  แถมราคาแพงอีก ตั้ง 70 บาท!! (ราคาจริง 85 บาท)  โอ๊ย… แต่ถึงกระนั้นก็มีคนมารอซื้อเยอะนะ ขอบคุณมาก พวกผมยังจัดบูธกันไม่เสร็จเลย อย่ารีบร้อนสิครับ

บางคนตะโกนสวนมาว่า “ถึงตูไม่รีบ มันก็ร้อนอยู่ดีน่ะแหละ!!”

เออ… จริงของมัน



14.00 น.

หนังสือขายดีเป็นเทน้ำเทท่า จนเกิดปัญหาระบบเงินไหลเวียนไม่สะดวก 


หรือเรียกให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายๆ ก็คือ “หาเงินทอนไม่ทัน” นั่นเอง

ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะหยิบธนบัตรสีแดงจนถึงสีเทาออกมาให้ เดือดร้อนถึงพ่อค้าแม่ค้าในระแวกนั้นที่จะต้องรับมือกับสมาชิคในทีมที่ผลัดมือกันออกไปแตกแบงค์

แรก ๆ ไม่เท่าไหร่ แต่พอเจอหลาย ๆ คน อาจเริ่มเกิดความรำคาญ นานเข้าอาจจะมีเจ้าของร้านค้าบางท่านสาปแช่งให้ชิงช้าสวรรค์กลิ้งมาทับบูธพวกผมก็เป็นได้  

หึ… ผมไม่กลัวชิงช้าสวรรค์กลิ้งมาทับหรอก เพราะมันช้า หลบทันอยู่แล้ว ชิงเร็วสวรรค์สิ  ถึงจะว่าไปอย่าง… อืม  แถมมุกกันเข้าไป



14.30 น.

พี่คะ เซ็นให้หน่อยค่ะ!!

ผมหยิกแก้มตัวเองจนเนื้อหลุดลุ่ย   เลือดกระฉูด ยังแทบไม่เชื่อ มีคนอยากได้ลายเซ็นเราด้วยเว้ยเฮ้ย..!! เราดังแล้วหรือนี่!!


โอวว แล้วแต่ละคนที่มาขอนี่ก็เป็นผู้หญิงน่ารัก ๆ ทั้งนั้น หน้าตาสะอาดสะอ้าน ผิวขาวหมวย นิสัยเรียบร้อย ผมไม่ลังเล!! รีบฉีกเสื้อผ้.. เฮ้ย!! ไม่ใช่ ฉีกพลาสติกที่ห่อหนังสือแล้วเซ็นให้ทันที ไม่มีซ้อมเซ็นด้วย 

ผลก็คือ… ลายเซ็นแต่ละเล่มไม่ซ้ำกันเล้ย ทั้งหมดมี 36 แบบให้สะสม สะสมครบเอามาแลกแผ่นรองเม้าส์รูปเงาหัวเด็กชายมนัส กัดเคลือบพิษ ได้ฟรีที่หลังบูธ… 

ว้อย จะบ้าเหรอ ก็คนมันตื่นเต้นนี่หว่า ทำไงได้เล่า

เฮ้อ… จริงๆ น่ารักยังงี้ ไม่อยากให้ลายเซ็นสักเท่าไหร่หรอก อยากให้หัวใจว่าง ๆ 4 ห้องมากกว่า

อ๊วก!! เสียงผู้คนในรัศมี 400 เมตร เปล่งออกมาพร้อมกัน



15.00 น.

บรรยากาศภายในบูธของผม  ที่อยู่ในมอร็อค zone

ผมเริ่มเบื่อบรรยากาศในบูธตัวเองซะแล้ว เปิดหูเปิดตาดูบูธอื่นซะบ้าง เริ่มจากใกล้ ๆ ตัว ก็มีร้านขายโพชั่น 


ชมตรง ๆ ว่าไอเดียเก๋มาก เป็นน้ำหวานหลากสี มีสีแดง สีเขียว ส้ม ฯลฯ เปิดขวดกินได้จริง ๆ ผมยืนดูหลังบูธของเขาเพื่อเฝ้าดูอนาคตของชาติ ผมหวังว่าคงไม่มีใครบ้าแรคถึงขั้นกดดับเบิ้ลคลิกเพื่อกินเรด  
เวลาผ่านไป ลูกค้าหลายคนที่ซื้อก็เปิดฝาแล้วกินน้ำตามปกติ ไม่มีใครกดดับเบิ้ลคลิกสักคน อืม… มันก็แหงอยู่แล้ว เรากังวลมากไปรึเปล่าเนี่ย


ถัดมา สหกรณ์พวงกุญแจของคุณเม่นที่น้อง ๆ รู้จักกัน ขายดีชนิดที่ว่าบูธแทบถล่มทลาย ผู้คนฆ่ากันตายหน้าร้านเพื่อแย่งสิทธิความเป็นเจ้าของ


อันนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก  แหง การ์ตูนเขียนขำไส้แตกซะขนาดนี้ ลายเส้นก็พริ้วโดนใจซะขนาดนั้น คาดว่ารายได้จากการขายพวงกุญแจน่าจะซื้อบ้านได้สักหลัง อีกส่วนหนึ่งเอาไปเปิดร้านเกม แล้วก็ซื้ออาหารเม่นตุนไว้ 1 ปี ผมล่ะอิจฉาจริง ๆ


ถัดมาอีก… บูธนี้ผมจำไม่ได้ว่าขายอะไร เพราะไม่ได้สังเกตสินค้า สังเกตแต่คนขาย แต่งคอสเป็นแก๊งค์ GM ซะด้วย น่ารักมาก เผลอสบตาทีไรเลือดกำเดาพุ่งทุกที



16.00 น.

ผมเริ่มเดินแรดเข้าไปในงาน  กลิ่นมนุษย์โลกแรงมาก คนเยอะจริง ๆ พยายามแทรกตัวเข้าไป แต่ก็ดูท่าจะไม่เป็นผล เหมือนพวกเขาพยายามขัดขวางผมไม่ให้เข้าไปในงาน 


ทำไม!! ทำไมพวกคุณถึงไม่ให้โอกาสผม ทั้ง ๆ ที่ผมพยายามใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไปแล้วแท้ ๆ ทำไมสังคมถึงไม่ต้อนรับ ฮือ… ฮือ…

สุดท้าย ผมก็ไม่ได้เดินทั่วงานหรอกครับ มาหยุดดูที่บูธน้ำตาลก้อนอย่างเดียวนี่แหละ เห็นปั้นเป็นรูปโพริ่ง น่ารักดี ผมบอกพี่เค้าให้ปั้นรูปโพริ่งสุรเดชได้มั้ย

เขาตอบว่า “โอ๊ย..!! ไม่ได้หรอกครับ มันยาก เหนื่อยด้วย”

เอ่อ.. ยากตรงไหนวะ ก็แค่เติมจมูกให้โพริ่งที่ปั้นเสร็จแล้วแค่เนี้ย



17.00 น.

อลังการงานคอสเพลย์… เหล่าผู้แต่งคอสเพลย์เริ่มโชว์ตัวแล้ว

เคยเขียนลงคอลัมน์ไม่รู้กี่ครั้งว่า “ถ้ามีงานแต่งคอสเพลย์เมื่อไหร่ ตัวละครที่ขายดีที่สุดก็คือจากเกมแร็คนาร็อค” 


เห็นมั้ย ผมพูดไม่ผิดจริงๆ มองไปทางไหน ไม่มีคนที่ไม่แต่งเกี่ยวกับแร็คเลย เห็นมั้ย… ฮ่าๆๆ ผลั้ว!!! โอ๊ย!! ใครตบหัววะ…

“ก็นี่มันงานแร็ค!! แกจะให้เค้าแต่งเป็นหน้ากากเสือออกมารึไงล่ะว้อยย”

เออ… ใช่ ลืมไป สงสัยเราจะเมากลิ่นพัดลมไอน้ำ


กลับมาที่กองคอสเพลย์อีกครั้ง สารภาพตรง ๆ ว่า ผมมองชนิดตาไม่กระพริบจริง ๆ ขนาดที่ว่าถึงมีก็อตซิลล่ามาเดินอยู่กลางเมือง ผมยังไม่ละสายตาไปมองมันเลยให้ตายสิ อลังการแท้  


ที่เด่นติดตาผมก็คงหนีไม่พ้น “มายา” แล้วก็ “ออคฮีโร่” ยอมรับว่าเยี่ยมเลยล่ะ เรียกเสียงกรี๊ดถล่มทลาย ตากล้องรัวชัตเตอร์กันซะจนนิ้วอักเสบ บอกคำเดียวว่า โอวว… เป็นบุญตา



18.00 น.


เอาล่ะ.. อาหารตาผ่านไปแล้ว คราวนี้ถึงทีของอาหารทำลายสายตากันบ้าง 


หึ ๆ คอสเพลย์สวย ๆ พวกผมก็มีให้ดูเหมือนกัน แต่เป็นคอสเพลย์แบบทุนต่ำสุด ๆ เงินไม่ใช้ ใช้แต่ความกล้าอย่างเดียวเท่านั้น อุปกรณ์ที่ใช้แต่งก็เป็นเครื่องใช้ในครัวเรือนนี่เอง จำพวก ขวด ถ้วย ถัง กาละมัง หม้อ แต่งกันทั้งทีม

(ถ้าใครซื้อ RO VARIETY คงได้เห็นกันแล้ว และคาดว่าคงจะฉีกหน้านั้นทิ้งไปแล้ว เพราะทุเรศมาก)


ต้องบอกว่าเป็นโชคดีของหลายๆ คนที่ได้กลับบ้านไปก่อน ขี้เกียจบรรยายครับ ให้พิจารณาจากคำพูดที่หลุดมาจากฝูงชนเหล่านี้ละกัน


“เอาแล้ว… ตูเห็นอะไรเข้าแล้ววะเนี่ย”

“เฮ้ย… แผนกไหนขายยาล้างตาวะ ตูจะเข้าไปซื้อ”

“พวกมันคงไม่คิดจะประกวดใช่มั้ย”

“ไม่มีใครห้ามพวกมันเลยเหรอ… ”

“เฮ้ย… มือถือยังมีตังค์อยู่ใช่มั้ย กด 191 ทีดิ เพื่อประเทศชาติ”


ปลื้มครับ ผู้คนในงานให้การต้อนรับดีขนาดนี้ กระแสตอบรับดีขนาดที่ว่าผมหันหลังไปที่บูธ บก. เริ่มหาปี๊ปมาครอบหัวแล้ว เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อน เดี๋ยวกล้องเค้าพัง งานหน้าค่อยมาแต่งใหม่



19.30 น.

คอนเสริต์แดน บีม เริ่มขึ้นบนเวที ส่วนพวกผมเก็บบูธเตรียมกลับกันแล้ว วันนี้สนุกมาก ถึงอากาศจะร้อนอบอ้าวไปหน่อยก็เถอะ


บอกตรง ๆ เลยนะ ผมไม่อยากให้มีงานแบบนี้แค่ปีละครั้งเลย มันน้อยไป จริง ๆ นะ น่าจะมีปีละ 365 วัน เฮ้ย..!! ไม่ใช่ น่าจะมีปีละ 2 ครั้ง 2 วันก็พอแล้ว วันเดียวนี่มันสั้นจริง ๆ ว่ามั้ย

ผมมองผู้คนทุกคนที่มางานมีแต่ความสุข ก็อดอมยิ้มไม่ได้ ทุกคนมาด้วยใจรักทั้งนั้น

แร็คนาร็อคทำให้ยอดขายหนังสือของผมในวันนี้ขายได้ถึง 200 เล่ม ซึ่งผมดีใจมากที่มีคนตอบรับดีขนาดนี้ ทีมผมเป็นหนี้บุญคุณเกม ๆ นี้ซะแล้ว เพราะถ้าไม่มีแร็ค คงไม่มีใครรู้จักผม

ผมไม่รู้ว่าเกม ๆ นี้จะฮิตติดกระแสนิยมไปอีกนานแค่ไหน อีก 1 ปี 2 ปี หรือมากกว่านั้น ไม่มีวันสิ้นสุด

แต่ที่แน่ ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ มันเป็นอะไรสักอย่างที่ผมบรรยายใน 2 หน้ากระดาษนี้ไม่หมดง่าย ๆ




คำว่า “คลาสสิก” มันไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ แต่วันนี้มันเกิดขึ้นกับเกมๆ นี้และตัวผมแล้ว


คงต้องยอมให้กับเกม ๆ นี้  เกมเดียวจริง ๆ