วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ROซอกหลืบ ตอน ไดอารี่ลับเฉพาะของโพริ่งสุรเดช ภาค 2


(ต้นฉบับปี 2548)


เรียกร้องกันดีนัก ซอกหลืบจัดให้ก็ได้!!
นี่คือ.. การกลับมาของ
“ไดอารี่ลับเฉพาะของโพริ่งสุรเดช 2”





วันที่ 1 เมษายน 2548

เอาล่ะ… วันนี้ตั้งใจจะเขียนไดอารี่อีกครั้ง หลังจากห่างหายไปนาน รู้สึกพักหลังเราจะดังใหญ่แล้ว ผู้คนรู้จักเยอะขึ้น เดินไปไหนมาไหนมีแต่คนอยากจะเอาคมดาบมาทักทาย  เพิ่งรู้ การเป็นคนดังบางทีก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าอิจฉา เพราะต้องอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ  ออกไปข้างนอกก็ต้องใส่หมวก ใส่แว่นดำ เหมือนกำลังหลบหนีอะไรบางอย่าง ชีวิตเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

ตั้งแต่รอดตายจากการชุบแป้งทอด เพื่อน ๆ ในป่าหาว่าเราหยิ่งขึ้น ไม่พูดไม่จา ไม่ใช่ไม่พูด  
แต่ปากมันพองว้อยย..!! พวกแกไม่โดนชุบแป้งทอดบ้างก็ไม่รู้หรอก 

วันนี้ที่เขียนไดอารี่นี่ไม่ใช่ว่าอยากเขียนหรอกนะ ทำกายภาพบำบัดกล้ามเนื้อปากต่างหาก เข้าใจมั้ย



วันที่ 8 เมษายน 2548

ไอ้คุณดรอปศุภโชค… ไอ้เพื่อนเฮ็งซวย จะตบหลังทักทายกันไม่ว่า แต่อยากให้มึงหัดดูจังหวะซะบ้าง ไม่ใช่ว่ามาตอนกำลังงับปากกาเขียนไดอารี่อยู่ ด้ามปากกาทะลุปากเลย สยองนะเฟ้ย เศษเยลลี่กระจายก็ไม่ช่วยเก็บ เจ็บหนักกว่าเดิมอีก


กว่าจะมาเขียนอีกก็ต้องพักฟื้น 1 สัปดาห์เต็มๆ เสียเวลาทำมาหากินนะเพื่อน โอย… อะไรนักหนา สงสัยช่วยนี้ดวงจะตก พรุ่งนี้ตักบาตรด้วยปราสาทกิลล์วอร์ท่าจะดี เผื่อดวงจะขึ้นบ้าง



วันที่ 9 เมษายน 2548

วันนี้ไปเดินเล่นในพรอนมา มีพรีสสาวหน้าตาน่ารักหักสวาทมาขอลายเซ็นด้วยแหละ แหม… เราก็เล่นตัวซะหน่อย ดังแล้วนี่ ท่าทางเค้าปลื้มเรามากเลยนะ หึ ๆ แต่สุดท้ายผมก็ไม่เซ็นให้หรอก ไม่ใช่หยิ่ง แต่เพราะอะไรน่ะเหรอ…

“อุ๊ยๆ พี่คะๆ ขอลายเซ็นหน่อยค่ะ หนูชอบพี่มากเลยนะคะ”

“พี่ไนท์หนุ่มใช่มั้ยคะเนี่ย!!”

จบเลย… จบ อย่าเอามันเลยลายเซ็น จูบก็ไม่ให้ด้วย ภาพรวมเราออกจะเหมือนโดม ปกรณ์ ลัม ซะขนาดนี้ ดูยังไงเป็นไอ้ดีเจขี้เหร่นั่นได้วะ สวยแต่ตาต่ำซะยังงั้น

ว่าแต่… ตัวเป็นก้อนนิ่วยังเงี้ย มันดูยังไงเป็นไนท์หนุ่มวะ



วันที่ 10 เมษายน 2548

วันนี้มีไนท์สายวิทขี่ปีโก้แรลลี่ผ่านหน้าบ้านประมาณ 20 คน 


ถ้าผมไม่ติดอาการบาดเจ็บล่ะก็… พวกมันคงจะได้เห็นนรกกันบ้าง



วันที่ 11 เมษายน 2548

ตื่นเต้น ๆ อีกวันเดียวก็จะสงกรานต์แล้ว สุรเดช มอนสเตอร์ธาตุน้ำน่ารักตัวนึง ยังไม่รู้เลยจะไปเล่นน้ำที่ไหน 


ศุภโชคซิบมาแนะนำว่าไปเล่นที่เกาะบีบาลันสิ คนเยอะ จะได้ไปดูนมนางเงือกด้วย เออ ๆ ก็อยากไปอยู่หรอก แต่น้ำหน้าอย่างพวกเราจะแบก HP ไปถึงชั้น 3 ได้เหรอวะ ไม่ค่อยมั่นใจยังไงไม่รู้



วันที่ 12 เมษายน 2548

วันนี้ตื่นเต้นอีกแล้ว เพราะโฆษณาอโยธยาจะออกฉายทางทีวีเป็นครั้งแรก ผมนั่งดูตั้งแต่ต้นจนจบ สวยดี เอ่อ ว่าแต่… ตูหายไปไหนวะเนี่ย 


เฮ้ย!! ตอนทีมงานโทรนัดไปถ่าย เห็นจะบอกให้เป็นตัวเด่นในซีนนั่งเรือเลยไม่ใช่เหรอ วันนั้นผมสลัดคราบเยลลี่ใส่ชุดลายไทยด้วยนะ อลังการมาก พอส่องกระจกรู้สึกตัวเองเหมือนขนมจ่ามงกุฏยังไงไม่รู้ เฮ้ย!! หรือว่า!! หรือว่า!! เราจะโดนหลอก เฮ้ย!!

โธ่เว้ย… จำไว้เลย   ฮือ… ฮือ พวกมนุษย์ 2 ขานี่ไว้ใจไม่ได้จริง ๆ



วันที่ 13 เมษายน 2548

วันนี้สงกรานต์ ได้ออกไปเล่นน้ำสมใจอยาก ผมกับศุภโชคนั่งเรือไปเกาะบีบาลัน โชคดีไม่เสียตังค์ค่าเรือ เพราะส่วนสูงไม่ถึง


แต่ก็โชคร้ายที่ต้องเจอการเล่นน้ำที่หนักหน่วง Wizard ร่ายวอเตอร์บอลใส่กันอย่างโหดเหี้ยม พวกไนท์ก็เอาดาบธาตุน้ำไล่ฟันสนุกสนาน ไม่กลัวหรอก แต่สยองยังไงไม่รู้ เพราะหน้ามันจริงจังมาก เห็นแล้วไม่กล้าเข้าไปร่วมวง

ไปไม่ถึงชั่วโมงก็กลับ เข้าใจว่าสังคมเปลี่ยนไปแล้ว อีกอย่าง… เห็นใจศุภโชค เพราะมันธาตุไฟ

เพื่อนใครวะเนี่ย บื้อจริง ๆ แพ้ธาตุน้ำ แล้วจะชวนเล่นสงกรานต์หาเหวอะไรว๊า



วันที่ 16 เมษายน 2548

เฮ้อ… เก็บตัวหนีน้ำ 3 วัน ตื่นเช้าวันนี้อากาศสดชื่น รู้สึกเพลียๆ ยังไงไม่รู้ สงสัยวันนี้ต้องฟิตซะหน่อย


เริ่มต้นด้วยการวิดพื้น 50 ครั้ง 4 เซ็ท ดึงข้ออีก 10 ครั้ง 2 เซ็ท ซิทอัพอีก 100 ครั้ง

อืม… เข้าท่า ๆ ไว้ชาติหน้ามีแขนแล้วค่อยทำละกัน



วันที่ 17 เมษายน 2548

แผลที่ถูกปากกาทิ่มเริ่มสมานกันแล้ว ดีใจจัง  ซิบไปบอกศุภโชค ท่าทางมันไม่รู้เรื่อง แถมยังถามอีกว่า ไปโดนใครเค้าแกล้งมาล่ะ 


ผมก็เลยตอบว่า โดนเพื่อนโพริ่งสีซีดหน้าโง่ ๆ สมองควาย ปัญญาอ่อนตัวหนึ่งแกล้งโดยมิได้ตั้งใจ เพื่อนงี่เง่าแบบนี้ เราควรเลิกคบดีมั้ย

ศุภโชคไม่เสียเวลาครุ่นคิด บอกเห็นด้วยทันที เพื่อนที่พาเสื่อมแบบนี้ไม่ควรคบให้ชีวีมัวหมอง ตัดเยลลี่ปล่อยวัดได้เลย

อืม…. ก็เห็นด้วยเหมือนกัน



วันที่ 18 เมษายน 2548

วันนี้มีจดหมายท้าดวลส่งมาถึงผม ไม่ปรากฏชื่อผู้ส่ง ในเนื้อความบอกว่า .


“ให้ไปเจอกันที่จุดเรือล่ม เวลาหกโมงเย็น เราจะตัดสินกันว่าใครเป็นผู้ที่เก่งที่สุดในรูน มิดการ์ด ถ้าไม่ไปถือว่าปอดแหก”

ได้อยู่แล้ว ท้ากันอย่างนี้ ไม่ไปเสียชาติเยลลี่หมด

พอแบกชีวิตไปถึงสถานที่นัดพบ เจอแอสซาซินแสงติดเท้าอยู่คนนึง ไอ้นี่แน่ๆ ไอ้นี่แน่ ๆ วอนซะแล้วผมเปล่งวาจาแบบไม่คิดถึงอนาคตตัวเองทันที!!

“มาสู้กัน!!!” แอสซาซินก้มมองผมหัวจรดหัว แล้วเอ่ยเบา ๆ ก่อนเดินจากไปว่า

“หึ… ไอ้เซฟิรอสมันปอดแหกถึงขั้นส่งสัตว์เลี้ยงมาตายแทนเชียวเหรอวะ น่าสมเพสจริงๆ”

ผมเงียบแปปนึง วิเคราะห์ดี ๆ

อ้าว… ไอ้บ้า!! ส่งจดหมายผิดบ้านนี่หว่า



วันที่ 19 เมษายน 2548

หาปากกาไม่เจอ… วันนี้งดเขียน 1 วัน



วันที่ 21 เมษายน 2548

วันนี้จัดชั้นหนังสือเก่า และแน่นอน เหมือนในหนังและในการ์ตูน มันจะต้องมีชอตน้ำเน่า

เราจะเจอหนังสือเก่า ๆ ที่ไม่คิดว่าจะอยู่ในชั้น 1 เล่ม ผมก็เจอเหมือนกัน หนังสือหน้าปกเขียนว่า

“ตำนานซุปเปอร์โพริ่ง”

เนื้อหาเกี่ยวกับสุดยอดโพริ่งในตำนาน ดวงตาสีเขียว ร่างกายสีทอง และตัวจะเรืองแสง โพริ่งที่สามารถเป็นได้จะต้องมีความโกรธจนถึงขีดสุด หนึ่งหมื่นปีจะเกิดขึ้น 1 ตัว

อืม… ตาเขียว ตัวสีทอง เรืองแสง คุ้นๆ เว้ย เหมือนเคยเห็นในการ์ตูนช่อง 9 เมื่อสิบปีที่แล้ว

ท่าจะเป็นเรื่องโกหก เก็บเข้าชั้นหนังสือตามเดิมดีกว่า



วันที่ 22 เมษายน 2548

วันนี้มีโทรซิบจากบริษัท Rograde คุณไนท์หนุ่มเชิญให้ไปอัดรายการทำอาหาร 


ฝันไปเหอะ… จะหลอกไปลงบ่อน้ำมันอีกอ่ะดิ ลูกผู้ชายชื่อสุรเดชเจ็บแล้วจำนะเฟ้ย ลาขาด!!



วันที่ 23 เมษายน 2548

วันนี้ไปเดินเล่นที่โคโมโด เห็นใน Roclub บอกว่าอากาศดี แต่พอไปเดินทำไมได้กลิ่นน้ำมัน แปลก สังเกตดี ๆ อ๋อ มาจากหุ่นยนต์นี่เอง เดินตีกบกันให้ควักเลย เทคโนโลยีที่โคโมโดช่างล้ำสมัยจริง ๆ



วันที่ 24 เมษายน 2548

อากาศร้อน.. วันนี้อากาศร้อนมาก รู้สึกเหมือนตัวจะละลาย นี่ขนาดได้ร่มไม้บังแล้วนะเนี่ย ไม่ได้ ๆ เดี๋ยวผิวเสีย ยิ่งเราเป็นดาราดังของคอลัมน์นี้ด้วย เรทติ้งตกไอ้ไนท์หนุ่มมันก็มาโทษเราอีก หาซันบล็อคมาทาด่วนเลย


ซันบล็อคหาเจอแล้ว แต่ทาไม่ได้!! ไม่มีมือ!! ว้อยย…!! ชีวิตซุปเปอร์สตาร์ทำไมถึงได้ลำบากยังงี้



วันที่ 26 เมษายน 2548

หายไปหนึ่งวัน ท้องเสีย สาเหตุเนื่องจากกินซันบล็อคทั้งขวด กะประชดพระเจ้าที่สร้างให้เราไม่มีแขน ไม่น่าหงุดหงิดเล้ย… เป็นงี้ทีไรสติขาดทุกที


ไม่ไหวแล้ว เพลีย… นอนดีกว่า



วันที่ 27 เมษายน 2548

วันนี้มีโทรซิบมาหา เสียงผู้หญิง บอกว่าคิดถึงมาก อยากเจอหน้าจัง ชอบนะรู้มั้ย จุ๊บ ๆ

ไม่เสียเวลาเดา พอลล่าแน่นอน หึ ๆ แล้วตอนถ่ายมิวสิควีดีโอด้วยกันทำเป็นเล่นตัว ลับหลัง 1 เดือนแอบโทรหา ไม่เป็นไร ผมให้อภัยผู้หญิงทั้งโลกได้อยู่แล้ว เข้าใจว่านางพญาก็ต้องมีลีลากันบ้าง จะมาบอกชอบก้อนเยลลี่กลางกองถ่ายมันก็ดูเป็นหญิงไร้ค่า เอาล่ะ… สนองความต้องการภายในของเธอสักหน่อย

“พอลล่าเหรอจ๊ะ สุรเดชก็ชอบพอลล่าเหมือนกันนะ รู้มั้ย จุ๊บๆ”

“อะไรนะ พอลล่า!! ข้อยชื่อนงเปรียะตะหาก นายชื่ออะไรน่ะ สุรเดชเหรอ ว๊าย!! ขอโทษๆ ข้อยนึกว่าพี่อ่ำปรึก แค่นี้นะคะ”

เค้าโทรผิด….



วันที่ 28 เมษายน 2548

วันนี้นั่งอ่านหนังสือปรัชญาเยลลี่ แต่งโดยเซอร์เจเล่ไลท์ จอห์น เบาว์ริ่ง ที่ 14.5 อยู่หน้าบ้าน

ผมรู้สึกว่าเป็นหนังสือที่ดีมาก วันนี้นั่งอ่านทั้งวัน ได้คติสอนใจ ชอบคำคมที่ท่านกล่าวไว้ในหน้า 116 วรรคที่ 2 ย่อหน้าที่ 4 แยกเกษตร เลี้ยวซอยหน้า หลังซ้ายมือ

ในหน้านั้น ตรงนั้น มันเป็นคำที่โดนผมมาก

ในหน้านั้น ท่านกล่าวว่า

มีดโกน….!!

อืม.. เป็นคำที่คมจริง ๆ



วันที่ 29 เมษายน 2548

วันนี้ผมออกไปเดินเล่นที่หน้าพรอน ไม่มีโนวิทวิ่งไล่ตีผมเลยสักคน หุ ๆ ไม่ต้องแปลกใจ วันนี้ไม่มีใครจำผมได้

เพราะวันนี้ทาสีดำหนึ่งวัน เพื่อไว้อาลัยให้กับมุขมีดโกนของคุณไนท์หนุ่ม น่าสงสารจริง รู้ว่าไม่ตลกแล้วยังจะดันทุรังเล่นอีก



วันที่ 30 เมษายน 2548

เอาล่ะ..!! ในที่สุดก็เขียนครบอีกเดือน ตามที่แพทย์สั่งพอดี แผลที่ถูกทอดที่ปากก็ใกล้จะหายแล้ว สุรเดชกำลังจะกลับมาเริงระบำอีกครั้ง ยิบปี้!! เย้!!


เอาล่ะ… เก็บไดอารี่ใส่ตู้เซฟดีกว่า

เดี๋ยวไอ้ไนท์หนุ่มแอบฉกไปลงคอลัมน์มันอีกล่ะก็… แย่เลย ค่าตัวก็ไม่ได้ เฮ้อ


วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เกรียนกรึ่มกรึ่ม ตอน ร้านเน็ตจ๋า ข้าคิดถุง (ตอนจบ)


(ต้นฉบับปี 2557)


              

จากร้านเน็ตคลาสสิค เข้าสู่ยุคเน็ตโมเดิร์นสไตลลลคท์


ก่อนอื่นขอนิยามคำว่า "คลาสสิค" เสียหน่อย เพราะรู้สึกว่าผมนี่จะใช้คำนี้หารับประทานบ่อยมาก ทั้งในงานเขียนและชีวิตจริง 



สำหรับคนอื่นหรือความหมายสามัญทั่วไป คลาสสิคคือความลงตัว เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป เป็นอะไรที่ได้มาตรฐาน แต่สำหรับผม คลาสสิคคือ ความดั้งเดิม ความไม่เสริมไม่แต่ง อะไรที่ห้วน ๆ ด้วน ๆ นี่ ผมจะเรียกว่าคลาสสิค เอามาเปรียบกับพวกคนเล่นเกมก็ได้


"ไอ้นี่แม่งคลาสสิคว่ะ ท่าเท่ออะไรแม่งไม่กดเลย เดินตีอย่างเดียว"


"พี่คนนี้เล่นเกมโคตรคลาสสิคเลยว่ะ นิ่งๆ เทพๆ ตกลงพี่เค้าสนุกกับเกมรึเปล่าวะเนี่ย ดูเหมือนตายด้านเลยเนี่ย"



"ไอ้เกรียนนี่แต่งตัวโคตรคลาสสิคเลยว่ะ เสื้อกล้ามเกงบอลเข้าร้านเกมมาเลย"


ร้านเน็ตนี่โคตรคลาสสิคเลย มีแต่เน็ตจริงๆ........ บริการอย่างอื่นไม่มีเลย


ยอมรับว่าผมเอามาใช้บิด ๆ เบี้ยว ๆ ทางความหมายไปหน่อย แต่ก็คิดว่าคงไม่ได้เดือดร้อนถึงขนาดต้องไปก่อม็อบนกหวีดประท้วงหน้าฟิวเจอร์เกมเมอร์ โอเคนะ อิอิกำบาน ^ ^ (ทุ๊ยยย แล้วจะอธิบายเพื่อ!)


โอเคฉบับที่แล้วเราว่ากันด้วยร้านเน็ตคลาสสิค มันคลาสสิคมาก...... ความตระการตา อลังการอะไรไม่มีเลย แล้วเน็ตโมเดิร์นมันคืออะไร 



มันคือร้านสวย ๆ ที่มีส่วนนึงเป็นบริการอินเตอร์เน็ต หรือจะเน็ตทั้งร้านเลยก็ได้ แต่การตกแต่งต้องดูดีมีชาติตระกูล ถ้าเอาให้เห็นภาพง่าย ๆ ก็ พวกเน็ตคาเฟ่นี่แหละ


แต่บางทีเน็ตคาเฟ่มันเป็นคำสับขาหลอก หน้าร้านนี่อย่างหรูเลยนะ เปิดประตูเข้าไป.... ขุ่นพระสายฮีล เกรียนเต็มร้านเลย อ้าวเฮ้ย ร้านเกมนี่หว่า พูดถึงร้านแบบนี้แถวบ้านผมก็มีนะ ผมนี่เห็นตั้งแต่ขั้นตกแต่งร้านเลย โทนสีครีม ๆ โซฟาก็สีครีม ๆ หน้าร้านตกแต่งว่าเน็ตคาเฟ่ มีขายกาแฟสดด้วย 



บรรลุเลย ตกลงคาเฟ่มันแปลงมาจากคอฟฟี่ใช่มั้ยเนี่ย ตอนร้านจะเปิดผมดีใจมาก เฮ้ย หน้าปากซอยหมู่บ้านเราเลย เปิดเป็นทางการเมื่อไหร่เดี๋ยวจะมาเยือน รอพี่ก่อนนะน้อง เดี๋ยวจะมาใช้บริการ


พอร้านเปิดปั๊บวันแรกผมไม่พลาด โอ้ว เข้ามาแล้วบรรยากาศถูกใจมาก แอร์เย็นฉ่ำ มีคนนั่งเล่นอยู่เงียบๆ 2-3 คน นั่งแชทดูคลิปไปเพลิน ๆ ลั้นลา ผมวันแรกนี่ชิลมาก จัดไปเบาะ ๆ 3 ชม. ชอบมาก..... หามานานแล้วร้านแบบนี้ ผ่อนคลายสบายใจขิงๆ วันหลังถ้าเลิกงานเร็วมาอีกแน่


วันหลังนี่มาเลยครับ เปิดประตูร้านเข้ามาเลย ความชิลจ๋าฉันมาแล้ว.



ไอ้เหี้ย!!! เกรียนเต็มร้าน!!!! 


โอ้โห.... วิ่งกันพล่าน เครื่องนึงมุงกันอื้อ โดดขี่ขย่มโซฟากันสนุกสนาน เดี๋ยว เดี๋ยวนะ ไอ้วันก่อนกับวันหลังของผมนี่ ห่างกันแค่ 3 วัน ร้านมึงจะกลายพันธุ์อะไรเร็วขนาดนั้น 


แล้วร้านออกมาสปีชี่นี้นะครับ อย่าได้คิดว่าจะได้ชิลอีกเลย ลงนั่งแหมะไปเมื่อไหร่ เกรียนน้อยผู้น่ารักก็จะเข้ามาขนาบข้าง เสมือนหวังเฉากับหม่าฮั่นอารักขาท่านเปา


“พี่เล่นไรอ่ะ”


เป็นคำถามที่ตอบหรือไม่ตอบก็เจ็บทุกทาง 



ถ้าเราตอบมันเหมือนเราเอ็นดูเด็ก มันก็จะคุยกับเราต่อ ความเป็นส่วนตัวไม่มีอีกต่อไป แต่ถ้าเราไม่คุยกับมัน มันก็ไม่ไปไหนอยู่ดี มันแวะไปดูเพื่อนมัน เดี๋ยวมันก็แวะกลับมาหาเราอีก...... ตบหัวมันก็ไม่ได้ ไม่รู้โคตรเหง้ามันอยู่แถวนี้หรือเปล่า


ถือว่าจบเลย.... และหลังจากนั้นอีกไม่ถึงอาทิตย์ แบนเนอร์เกมมาละ โปสเตอร์ติดหน้าร้าน ไอ้กาแฟสดหายไปละ กลายเป็นชั้นวางขนมกรุบกรอบ โอเค.... มึงทรานฟอร์มเมอร์เป็นร้านเกมไปเรียบร้อย


คือถ้าใครออกนอกนอกบ้านบ่อย ๆ ลองสังเกตดูเล่น ๆ ก็ได้ครับ ร้านเกมบางร้านอ่ะ มันจะมีเค้าโครงเดิมอยู่ หน้าร้านนี่แบบ เฮ้ย มันมีความขัดกันแบบแปลก ๆ เว้ย มันจะดูออก



ร้านที่กลายพันธ์มันจะไม่เหมือนกับร้านที่จงใจเปิดให้เป็นร้านเกม สติกเกอร์บริการอินเตอร์เน็ตยังติดหน้าร้านอยู่เลย แต่โดนโปสเตอร์เกมติดทับซ้อนมั่วไปหมด ผมนี่สงสัยมาก เฮ้ย ทำไมมันเป็นแบบนี้  สงสัยมาจนกระทั่งมีเพื่อนลงทุนเปิดร้านเน็ต


ถึงตอนนั้นเข้าใจเลยว่าทำไม


เพื่อนที่ทำงานเก่าผมชื่อ "ไอ้แจ๊ค"  มันจะลาออกไปลงทุนเปิดร้านเน็ต ตอนออกแบบนี่อย่างสวย ดีไซน์ให้เป็นเน็ตคาเฟ่หรู ๆ โทนร้านสีน้ำตาลอ่อน บริการเน็ตไปด้วยขายของนำเข้าไปด้วย 



ตอนเปิดร้านก็นิมนต์พระมาเจิม เพื่อนฝูงก็พากันไปสัมผัสบรรยากาศ ล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่แหละร้านเน็ตในอุดมคติ ดีทุกอย่างยกเว้นเปิดไกลบ้านกูไปหน่อย


ผ่านไปแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น เกรียนยึดครองร้านเรียบร้อย 



โปสเตอร์พอยท์แบงค์กับดอทเอหราอยู่หน้าร้านเลย ไอ้แจ๊คถึงกับเซ็งเป็ด เพราะมันกะจะเหล่สาวออฟฟิต เด็กมหาลัยซะหน่อย ในใจมันขำนะ อีกใจก็เห็นใจมันอ่ะ แต่พอจับเข่านั่งคุยกันไอ้แจ๊คถึงพอจะรู้สาเหตุ ว่ามันเสร่อเปิดร้านไม่ดูทำเลเอง อยากให้กลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กมหาลัย คนทำงาน เสือกไปเปิดร้านอยู่ใกล้โรงเรียนมัธยม 


ไอ้พวกนี้เห็นร้านหรูน่าดึงดูดมันก็เข้ามาสนองสิครับ แล้วมันก็มาแต่ไอ้พวกนี้อ่ะ สุดท้ายเมื่อทนเสียงเรียกร้องไม่ไหว ก็เลยต้องไหลตามน้ำไปด้วยเหตุฉะนี้


แต่ถ้าร้านเปิดถูกทำเลขึ้นมา คนก็เต็มร้านเหมือนกันนะ แถวบ้านผมอีกเหมือนกัน (ทุกอย่างในจักรวาลอยู่แถวบ้านผมหมด) แต่งร้านเป็นแบบญี่ปุ่นเลยครับ มีฉากญี่ปุ่นกั้นสวยงาม ดูเผินๆ เหมือนล้อมคอก แต่ไอ้คอกแบบนี้แหละที่ถูกใจนัก หึหึหึหึ ทำไมต้องหัวเราะโรคจิตขนาดนั้น โอเค ถือว่าเราละไว้ในฐานที่รู้กัน


เชื่อมั้ยร้านแบบนี้ ชม.30 คนก็ยอมจ่าย ผมเคยเข้าไปร้านเน็ตแบบนี้ โอ้โหแต่ละคอก หญิงแจ่มๆ ทั้งนั้น นั่งยิ้มหวานพิมพ์แท่ก ๆ ๆ ๆ อีกคอกนึงเป็นผู้ชาย นั่งหน้ายื่นจะทิ่มเข้าไปในจอคอมอยู่แล้ว ดีไซน์ร้านแบบนี้แหละโคตรถูกใจ!! 



นึกถึงตอนเล่นร้านที่มันเรียง ๆ เครื่องกันอ่ะ ไอ้ข้าง ๆ นี่เผลอไม่ได้เลย เผลอเป็นมอง เผลอเป็นมอง 


มองทำไมวะ!!! เล่นเน็ตโว้ยไม่ได้เข้าห้องสอบ จะดูรูปโป๊นี่ไม่ได้เลย มือต้องไว รีบกดแล้วย่อจอลงเหลือนิดเดียว เป็นสี่เหลี่ยมน้อยๆ ตรงมุมจอ เวลาจะดูรูปก็ค่อย ๆ เลื่อนดูทีละส่วน พอไอ้ข้าง ๆ แอบเหล่มา ใช้ความไวคลิกดูเว็บตามปกติ!!! 


เจ้ดเข้.... ทำไมชีวิตคนมันต้องสร้างภาพขนาดนั้นด้วยวะ


บางคนก็เอาความส่วนตัวตรงนี้มาหื่น บางคนก็เอามาดราม่า ใส่อารมณ์กันเต็มที่ เปิดไมค์ด่ากัน เดินผ่านอีกทีร้องไห้แล้ว บางทีก็แอบกลัว... จะมีใครมาตายแถวนี้รึเปล่าวะ 



ส่วนตัวที่เคยไปใช้บริการ บอกตรง ๆ ว่า ชอบความเป็นคอกมาก ๆ กลับบ้านแทบจะหาฉากมาล้อมโต๊ะคอมไว้เลย ไม่รู้ทำไม มันจิตแปลก ๆ


ทุกวันนี้ร้านแบบนี้ แถวบ้านผมก็พัฒนาเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวไปแล้ว จริง ๆ ก็คือเจ๊งน่ะแหละ แต่บางทีก็ยังมีอยู่ ไมได้หมายถึงร้านคอกญี่ปุ่นนี่นะ หมายถึงพวกร้านเน็ตคาเฟ่บรรยากาศดี ๆ แบบนี้ 



ผมว่าต่อให้เรามีแพคเกจเน็ตติดตัวตลอดเวลาก็เถอะ แต่ไอ้การนั่งเสพบรรยากาศชิล ๆ ไป เล่นเน็ตไป มีอะไรกินอร่อย ๆ อยู่ข้าง ๆ มันเป็นอะไรที่ลงตัวมาก


และจากนี้จะผ่านไปอีกกี่ปีกี่ชาติ ผมว่ายังไงการเล่นเน็ตอยู่หน้าคอม มันก็คลาสสิคอ่ะ นี่แหละได้มาตรฐานสุดแล้ว


เพื่อนผมมันเคยทำมือถือหล่นไปในชามมาม่า ถ้าเล่นเน็ตกับคอม เหตุการณ์น่าสมน้ำหน้าแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นเด็ดขาด  โฮะ ๆ ๆ

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เกรียนกรึ่มกรึ่ม ตอน ร้านเน็ตจ๋า ข้าคิดถุง (ตอนแรก)


(ต้นฉบับปี 2557)

            

ถ้าผู้ใหญ่มองร้านเกมว่าเป็นด้านมืด เป็นแหล่งมั่วสุม เป็นศูนย์เซ็นเตอร์มอมเมาเยาวชน  ใครเข้าไปนี่แค่ปลายเท้าแตะพื้นมึงเสียคนทันที!!!   
เดี๋ยว เดี๋ยวนะ เวอร์ไปมั้ย  เอาเป็นว่าถ้าร้านเกมคือด้านมืด แน่นอนว่าโลกเรามันต้องมีถ่วงดุลกันครับ มีหยินก็ต้องมีหยาง


ด้านสว่างของผู้ใหญ่ก็คงเป็นร้านอินเตอร์เน็ตนั่นเอง เพราะส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า อินเตอร์เน็ตเพื่อการฉึกฉา


ขอเจาะลึกเรื่องชื่อนิดนึง คือต้องมีวิธีเรียก  ตรงนี้ซีเรียส  ไม่รู้ทำไม ถ้าเรียกย่อ ๆ ว่า “ร้านเน็ต” แม่งจะดูไร้สาระขึ้นมาทันที เหมือนเราไปเพื่อนั่งแชท เปิดกล้อง หาเพื่อนหาผัว แอบเล่นเว็บโป๊...... เหมือนภาพพวกนี้มันลอยเข้ามาเลย


แต่ถ้าเราเปลี่ยนจากร้านเน็ตเป็น ร้านอินเตอร์เน็ต หรือบริการอินเตอร์เน็ต มันจะดูดีมีชาติตระกูลขึ้นมาทันที!! 



จะดูเหมือนเพื่อการศึกษา เช็คเมลล์ประกอบธุรกิจ คุยงาน หาข้อมูล!!!  ดูเป็นคนดีขึ้นมา +90 เลเวลทันที  ไอ้ชิบหาย  ทั้งที่แม่งก็เดินเข้าร้านเดียวกัน...... ทำไมภาพพจน์มันต่างกันราวฟ้ากับก้นเหวขนาดนี้


ร้านเน็ตเดี๋ยวนี้ต้องบอกว่า หายากพอ ๆ กับงมเข็มในห้องสมุด มันกำลังจะกลายเป็นของแรห์ไอเท็มพอๆ กับหนังสือ RoVariety หนังสือที่มียอดตามล่าสูงสุด ณ ขณะนี้ (หายากมาก ขนาดไอ้คนเขียนมันยังทำหายเลย..... ทุเรศจริงๆ)



ช่วงหนึ่งร้านเน็ตถือเป็นที่ต้องการของชาวโลกมากๆ ในยุคที่อินเตอร์เน็ตบ้านยังต้องพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธ์ในการล็อคอิน ต่อทีลุ้นแทบลืมหายใจ คุณยังจำเสียงต่อเน็ตยุค 2000 ได้มั้ยครับ


แอด...อิ๊ อ๊อดดด.....อ่อด แอ๊ดดดด....


อ่อ อิ๊ แอ่ดดด......อ่อดแอ๊ดดดด


เสียงเหี้ยมากกก...... เหมือนคนกำลังจะขากเสลด ทำไมไม่เอาเสียงเพลง หรือเอาเสียงบรรเลงอะไรมาให้ฟังยังจะดีซะกว่า เพื่อนผมนี่มันฟังจนทำเสียงต่อเน็ตโบราณได้ เป็นความสามารถพิเศษที่ทุกวันนี้ก็ยังไม่กล้าอวดใคร มันภูมิใจรึเปล่ายังไม่รู้เลย เอาเป็นว่าช่างมันเถอะ


คือที่มันฟังจนหลอนติดหูไม่ใช่อะไร มันต่อแล้วหลุด!!!  
หลุดแล้วก็ต่อใหม่!!! ต่อแล้วก็หลุด!!! หลุดแล้วก็ต่อใหม่!!! ต่อแล้วก็หลุด!!! หลุดแล้วก็ต่อใหม่!!! 


ตกลงนี่มันคือเน็ตเพื่อการศึกษา หรือเน็ตฝึกความอดทนกันแน่วะเนี่ย สรุปคือโอเค....ถ้าอยากจะบีบให้กูออกไปหาร้านข้างนอกมากนัก ไปก็ได้โว้ย 


มีเรื่องนึงพี่ผมสงสัยมาตลอด จนถึงเดี๋ยวนี้ผมก็ยังสงสัยอยู่ (แต่ร้านที่จะให้สงสัยไม่ค่อยเห็นแล้วล่ะ) สงสัยว่าทำไมค่าค่าชั่วโมงเล่นเน็ตถึงแพงกว่าเล่นเกม!! อย่าปฏิเสธว่าไม่เคยเจอ 



หน้าร้านนี่เขียนเลย อินเตอร์เน็ต ชม.ละ 25 เกม ชม.ละ 20


พอผ่านมาสักปีราคาลงเว้ย อินเตอร์เน็ต ชม.ละ 20 เกม ชม.ละ 15


ผ่านไปอีกปีราคาถูกลงอีก เน็ต ชม.ละ 15 เกม ชม. ละ 10


เออยังดีที่หยุดอยู่แค่นี้ ไม่งั้นยุคนึงเราอาจได้เห็นเน็ต ชม.ละ 5 บาท ส่วนเกมเล่นฟรี ใครอยากเล่นอะไรเล่น เดี๋ยวทางร้านจ่ายค่าไฟให้ จะบ้าเหรอ....... ทำไมวะ!! ทำไม ทำไมเกมถึงต้องถูกกว่ากัน 5 บาทเสมอ กฎหมายฉบับไหนบัญญัติไว้


จำได้แม่นเลย ผมเคยเข้าร้านแบบนี้แหละ เน็ต 25 เกม 20 แต่วันนั้นผมเล่นเกม นั่งปั่นเวล ตีมอนส์อะไรไปเรื่อย วันนั้นเกิดเบื่อเร็ว เล่นไปครึ่ง ชม. เกิดอยากเล่นเน็ตเว้ย



เบื่อเกมละ อยากดูรูปโป๊ อยากอ่านเรื่องเสียว (เฮ้ย..เฮ้ย นักเขียนทำไมไม่เป็นตัวอย่างที่ดีกับเยาวชนวะ) ปิดเกมเล่นเน็ตดีกว่า


เฮ้ย..... ไม่ได้สิ เราเล่นเกมนี่หว่า ผมบอกกับตัวเองเหมือนละครไทย


วินาทีนั้น ความรู้สึกเหมือนผมกำลังพิสูจน์สิ่งลี้ลับอะไรบางอย่าง ผมอยากจะรู้จริงๆ ว่า ถ้าเราเล่นเกมไปแล้ว เราจะเล่นเน็ตได้หรือไม่!!!! อะไรมันจะเกิดขึ้น!!! ผมปิดเกม แล้วลองเข้าเน็ต!!!


ขุ่นพระ!!!! แม่งเข้าเน็ตได้!!!!



ผมก็ไม่รู้จะตกใจทำซากตึกอะไร ก็แหงอยู่แล้ว เกมออนไลน์มันก็ต้องใช้เน็ต ถ้าเล่นเน็ตไม่ได้สิแปลก   จริง ๆ ตรงนี้ก็ไม่น่าลุ้นอะไรเท่าไหร่หรอก ไอ้ที่มันลุ้นคือ ต้องจ่ายเท่าไหร่มากกว่า ไอ้เจ้าของร้านมันเห็นแล้วด้วย 



25 หรือ 20 วะเนี่ย


จริง ๆ  มันก็ไม่ควรจะลุ้นเหงื่อแตกอะไรขนาดนั้น ถ้าเกิดวันนั้นไม่พกมาแค่ 20 พอดีเป๊ะ อืม..... แล้วเกิดอยากมาพิสูจน์อะไรวันนี้ก็ไม่รู้ ผ่านไปครบ 1 ชม. ผมเดินไปจ่ายตังค์  เป็นอย่างที่คิดไว้ในใจจริง ๆ


25 บาท!!!


“เฮ้ยพี่ ผมมีแค่ 20 อ่ะ แล้วผมก็เล่นเกมนะ” ผมเริ่มดิ้นแล้วเว้ย พี่แกชี้ไปหน้าร้านเลย


เน็ต 25!! เกม 20!! เมื่อกี้อั้วเห็นลื้อเล่นเน็ต ก็ต้อง ชม.ละ 25 บาท!!!


อะไรวะ!!! ไอ้เหี้ยยยย เอากันยังงี้เลยเหรอ สรุปคือกูแตะไอคอนตัว E นี่ไม่ได้เลยใช่มั้ย!!! แตะปั้บโดนอีก 5 บาททันที มันจุกแค้นยังไงไม่รู้ สู้มึงปรับทั้งเน็ตทั้งเกม 25 เท่ากันยังรู้สึกดีกว่า


25 บาท!!!


อีห่ารากนี่ก็ย้ำจริง..... จ่ายก็ได้ สุดท้ายก็ต้องพึ่งพาเงินเพื่อนเพื่อเอาตัวรอดออกมา


บางร้านมันก็แบ่งวรรณะแปลก ๆ เครื่องเกมนี่ใหม่มาก ประหนึ่งพึ่งประกอบเสร็จแล้วยกมาเล่นเลย ส่วนไอ้เครื่องสำหรับเล่นเน็ต สภาพเหมือนคอมบริจาค สีโคตรรวินเทจ จะอมเหลืองไปไหน 



เก่าไม่เคืองเท่าอนาถ ค่า ชม. เสือกแพงกว่าอีกต่างหาก สู้แกล้งบอกว่าเล่นเกม แล้วไปใช้เครื่องเกมเล่นเน็ตไม่ดีกว่าเหรอ


พูดถึงความคลาสสิคของร้านเน็ต.... เอาแบบร้านเน็ตออริจินอลเลยนะ ไม่มีเกมให้เล่นเลย


มันก็คือร้านสำหรับนั่งทำงานน่ะแหละ คอมกากและเก่า ตู้น้ำตู้นึง มีน้ำอัดลม น้ำเปล่า ชามะนาว 



มีบริการปริ้นท์งานขาวดำ แผ่นละ 5 บาท   ปริ้นท์สีราคาจี้ปล้น แผ่นละ 30.....  ถ้าจะคิดราคานี้ไม่ลากไปปล้นหลังร้านเลยล่ะ  ถึงจะบ่น  แต่เมื่อจนตรอกมันก็ยอมจ่ายล่ะวะ


คาแรคเตอร์เจ้าของร้านก็จะเงียบ ๆ นิ่ง ๆ ไม่ร่าเริงใด ๆ  เรียกว่าจืดเลย  แต่ผู้คนที่มาใช้บริการจืดกว่า   นั่งเงียบ ๆ ใครแอบบันเทิงก็ใส่หูฟังเงียบ ๆ ครบ ชม. ก็จ่ายตังค์และเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ


แต่เชื่อมั้ย เห็นเงียบ ๆ ยังงี้นะ อยู่ทนชิบหาย...... ร้านเกมอื่นเค้าเจ๊งไปหมดแล้ว แถวบ้านผมนี่มีร้านเน็ต 2 ร้าน ทุกวันนี้ยังอยู่ครบทั้ง 2 ร้านอ่ะ แต่หน้าร้านเปลี่ยนธีมไปเรื่อย ขายกาแฟบ้าง ข้าวไข่เจียวบ้าง ล่าสุดเป็นน้ำแข็งใส อีกร้านนึงขายลูกชิ้น ก็เข้าใจว่าแค่ขายเน็ตอย่างเดียวมันไม่พอยาไส้



ลูกค้าเค้าก็โคตรจะคลาสสิก หน้าเดิม ๆ เกื้อกูลกันมาตลอด 10 ปี ไม่คิดใช้ 3G ไม่คิดใช้ Wifi เลย ซึ่งผมก็คาดว่าน่าจะอยู่ด้วยกันยันแก่เฒ่า ไม่สิ.... มันก็แก่กันอยู่แล้วนี่หว่าทั้งเจ้าของร้านและลูกค้า


พูดถึงตัวผมเองนี่ ผมยอมรับว่าตัวเองล้าหลังกว่าชาวบ้านเค้าประมาณเท่าตัวนึง 



3 ปีที่แล้ว คนอื่นเค้ามีเน็ตติดบ้านกันหมดแล้ว ผมยังเดินเข้าออกร้านเน็ตเพื่อเล่น Facebook อยู่เลย ต้องร้านเน็ตด้วยนะ ต้องการความสงบ


แต่ร้านเน็ตมันก็มีพัฒนาการของมัน


จากช่วงนึงที่มีแต่ร้านจืด ๆ ไม่ค่อยดึงดูด ลองได้พึ่งพาการตกแต่งเพิ่มสไตล์ไปสักเล็กน้อย มันก็จะดูน่าเข้าไปเล่นทันที ขนาดบางคนมีเน็ตอยู่บ้านแล้วยังอยากเข้าไปเลย ร้านแบบนี้แหละสีสัน น่าเข้าด้วยแรงดึงดูดส่วนตัว
 


ไอ้พวกความเกรียน ความวุ่นวาย มันจะอยู่ในร้านแบบนี้แหละ เพราะไอ้พวกร้านคลาสสิกมันเสียงดังไม่ได้ เจ้าของร้านแม่งด่า...... สัส


เดี๋ยวฉบับหน้าเรามาต่อร้านเน็ตโมเดิร์นสไตล์

วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เกรียนกรึ่มกรึ่ม ตอน มันยังอยู่ที่เดิม

(ต้นฉบับปี 2557)



ก่อนอื่นต้องบอกเลยครับว่า วันนี้อาจไม่ตลกเท่าที่ควร  แต่จะมีความประทับใจเล็ก ๆ ผสมความซาบซึ้งนึ่งซาลาเปานิโหน่ย


ซึ่งการดักแบบนี้ อาจทำให้เกิดความกดดันตัวเองตั้งแต่หัววัน..... คนอ่านคงนึกในใจเลยว่า  ถ้าไม่ประทับใจซาบซึ้งนะ  มึงตายยยย 

อืม  ตกลงเราเป็นนักเขียนประเภทไหนกันแน่วะเนี่ย   ช่างเถอะ เข้าเรื่องเลยดีกว่า





ใครคนหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า........  การเป็นเกมเมอร์  บางทีมันก็ไม่ต้องเล่นเกมตลอดเวลา ไม่ต้องอยู่กับมันถึงขนาดที่จะให้เป็นไอคอนหรือโลโก้ติดตัวขนาดนั้น  ชีวิตมันควรจะไปทำอย่างอื่นบ้างก็ได้ ขอเพียงว่าลึก ๆ คุณยังมีใจคิดถึงอยู่



และที่สำคัญที่สุด เมื่อเห็นนักข่าวโทษเกม คุณจะมีอารมณ์โทสะถึงขั้นว่าอย่าให้เจอคนเขียนนะ จะเอาจอยปืนยัดตูดแม่ม!! ไอ้ตรงนี้ล่ะวัดได้เลย ว่าคุณรักการเล่นเกมแค่ไหน


เล่นเกมมันก็เหมือนขี่จักรยาน ลองขี่เป็นสักครั้งก็เท่ากับคุณขี่เป็นตลอดชีวิต  ทักษะเกมแต่ละเกมเราจดจำด้วยร่างกาย  ด้วยความรู้สึก เล่นกันต่อเนื่องมาเป็นปี ๆ ต่อให้จู่ ๆ ติดภารกิจต้องเลิกเล่น ให้กลับมาเล่นอีกที ก็ยังเล่นได้



ไม่ได้สำคัญที่เล่นเก่งเท่าเดิม แต่สำคัญที่คุณยังสนุกกับมันอยู่เหมือนเดิมหรือมากขึ้นต่างหาก


ตอนนี้ผมก็สารภาพตรง ๆ ครับ ว่าไม่ได้แตะเกมแบบเอาจริงเอาจังอีกแล้ว คือใจมันอยากเล่นนะ แต่อะไร ๆ ในชีวิตมันแน่นตัวไปหมด ยิ่งแก่ยิ่งมีอะไรทำเยอะขึ้น เกมที่จะพอจะสะดวกเล่นได้ก็มีแต่ในมือถือ 



ล่าสุดเพิ่งโหลดแรคโมบายมาครับ กะจะเล่นให้หายคิดถึง ทุกวันนี้แม่งยังเข้าเซิฟไม่ได้เลย  เข้าได้ครั้งนึงก็หลุดยาวเลย ไม่รู้ใครลงยันต์ไว้ ไอ้เกมมือถืออื่น ๆ มันก็พอเล่นแก้ขัดตอนนั่งขี้ได้เท่านั้น ไม่ได้ทำให้เราติดเหมือนยาเสพติดแบบเมื่อก่อน


เคยเห็นเพื่อนนั่งเล่นเฮเดย์นะครับ เก็บผักด้วยท่าเท้าคาง หน้าเบื่อ ๆ ผมถึงกับบอกว่า ถ้ามันทรมานนัก เอาเวลามาเก็บของบนโต๊ะทำงานดีกว่ามั้ย   เก็บของไปก็ลุ้นไปว่าแมงสาบจะออกมาจากกองเอกสารกี่ตัว คิดว่ามันกว่าเยอะ


ช่วงนี้ครับ ทุก ๆ เย็นวันหยุด ผมจะออกไปปั่นจักรยานเล่นนอกบ้าน แล้วล่าสุดนี่  มีวันนึงไม่รู้ผมนึกอะไร จู่ ๆ อยากกลับไปแถวร้านเกมเมื่อสมัยเด็ก.... หรือร้านป้าอันคุ้นเคยนั่นเอง



แต่สภาพแวดล้อมนี่ไม่คุ้นเคยเลย เอาแค่เส้นทางที่จะไปเค้าก็โมฯ ใหม่หมดแล้ว เป็นโครงการหมู่บ้าน ร้านค้า มินิมาร์ทอะไรตรึมไปหมด 


วันนั้นมันเป็นฟีลแปลก ๆ นะ อาจเป็นสารอะไรสักอย่างที่หลั่งมาพร้อมกับจักรยาน เพราะปั่นจักรยานมันเหมือนตอนเด็ก ๆ มั้ง เลยทำให้คิดถึง แต่ไม่นึกถึงไอ้จักรยานหน้ากากแก้วชมพูนั่นนะ อันนั้นแม่งเลวร้ายสุด ๆ นึกถึงทีไรน้ำตาจะไหล


สรุปคืออยากย้อนอดีตว่างั้น อ่ะว่าแล้วผมก็ค่อย ๆ ปั่นช้า ๆ เนิบ ๆ ริมทางไป มองรอบ ๆ ไป สังเกตไป เปรียบเทียบไป อืมนะ นี่มันไม่เหลือเค้าเดิมเลยแม้แต่นิดเดียวเลยนี่หว่า 



เพื่อนที่ทำงานผมซื้อบ้านอยู่ที่นี่นะ ถ้าผมไปบอกมันว่าเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ตรงนี้เคยเป็นลานว่างนะ เป็นลานโล่ง ๆ ที่เอาไว้เตะบอลโกลหนู  มีแอ่งน้ำไว้ลอยกระทง  มีกองขยะไว้เล่นประทัด กระจับ ระเบิดโอ่งไฟอะไรทั้งหลาย มันจะเชื่อมั้ย??  เออดี ถ้าเกิดมันเชื่อ จะได้เติมเรื่องศพปริศนา  ผีตายท้องกลมให้มันไปนอนไม่หลับเล่น ๆ  นี่เลย.... ตรงนี้เลย เค้าตายตรงบ้านมึงเป๊ะเลยยยย กุไปล่ะ.....


และในที่สุด ผมก็ปั่นมาจนถึงที่หมาย.... ร้านป้าที่เคยเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในวัยเด็กของเรา แน่นอนว่าไม่ใช่ร้านเกมแล้วล่ะ ไม่ได้ขายของแล้วด้วย มีเพียงประตูเลื่อนเท่านั้นที่ทำใหม่ นอกนั้นเหมือนเดิมหมด 



บ้านยังเป็นไม้เหมือนเดิม อืม..... แล้วไงต่อวะ มายืนซึ้ง อิ่มเอมหน้าประตูบ้านเค้า จบแค่นี้ เปิดประตูเข้าไปก็ไม่ได้.... 


เป็นการย้อนอดีตที่อนาถมาก มาซึ้งหน้าประตูแล้วตัดจบเลย ต้องกลับแล้วใช่มั้ยเนี่ย


ระหว่างที่ผมกำลังจะกลับ  มีคนเปิดประตูออกมาครับ ลูกชายป้าแกนั่นเอง จำได้แน่นอน นุ่งผ้าขาวม้าพุงป่องมาเลย  ที่จำได้แน่นอนเพราะเครื่องแบบเค้านี่แหละ 15 ปีที่แล้วแต่งยังไงอยู่บ้าน ทุกวันนี้ก็ไม่มีเปลี่ยนเครื่องแบบเลย



เคยเห็นคนแบบนี้มั้ยครับ คนคลาสสิคแบบนี้อ่ะ ออกไปทำงานนอกบ้านแต่งตัวภูมิฐานเลยนะ พอกลับถึงบ้านปุ๊บ จับเวลาไม่เกิน 15 นาที เหลือแต่ผ้าขาวม้าทันที ทาแป้งเย็นด้วย


แต่พี่คนนี้แหละครับ เป็นเจ้าของเครื่องเกมและแผ่นเกมเป็นร้อยๆ แผ่น ที่ทำผมแทบจะเสียคนในตอนนั้น


“มาหาใครครับ”


เอ่อ..... ไอ้ตอนนั้นผมก็ไม่รู้จะคุยอะไร เลยอ้างแม่มเลยว่ามาจากวีคลี่ออนไลน์ จะมาสัมภาษณ์อะไรสักอย่างนี่แหละ บอกว่าเปล่าไม่มีอะไรนี่จบเลยนะ ยังไงมาถึงแล้วก็ต้องหาเรื่องต่ออ่ะ






“แล้วคุณป้าอยู่มั้ยครับ”

“แม่พี่เสียแล้ว”






“..........................”








ความรู้สึก ณ.จุดๆ นั้น แบบ เฮ้ย ผมอึ้งอ่ะ ไปต่อไม่เป็นเลย ความรู้สึกมันเหมือนวูบ ๆ พี่เค้าบอกแกเสียไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ร้านเกมก็เลิกไปเป็นสิบกว่าปี เพราะไม่มีคนดูร้าน


“แล้วพวกเครื่องเกม แผ่นเกมทั้งหลายล่ะครับ พี่เอาไปขายหรือเปล่า”


พอพูดถึงตรงนี้ แกพาผมเข้าไปในบ้านเลยครับ ตรงไปที่ห้อง ๆ นึง เปิดเข้าไปนี่ผมแทบขนลุก
 


ทั้งลังกระดาษ ชั้นวางของ เครื่องเกมที่กองๆ กันไว้ จอยโยก จอยปืน หนังสือบทสรุปเต็มห้องไปหมด!!! เรื่องกลิ่นนี่ไม่ต้องพูดถึง เปรี้ยวมาก พี่เขาเปิดกล่องแต่ละกล่องให้ดู แผ่นเกมทั้งนั้น!!!


“โห...พี่!!! สุดยอด ยังเล่นได้ป่ะเนี่ย”


“ไม่รู้เหมือนกัน ของพวกนี้พี่แพคหนีน้ำท่วม หนีไม่ทันบ้างก็มี พวกเครื่องเกมก็ไม่รู้ว่ายังเล่นได้หรือเปล่า”


“พี่ไม่คิดจะทิ้งเลยเหรอครับ ตอนน้ำท่วมผมทิ้งหนังสือการ์ตูน แผ่นหนังอะไรไปก็เยอะ” ผมบอก


“ถ้าคุณทิ้ง แล้วคุณจะคิดถึงมันหรือเปล่า....... พี่คิดว่าถ้าพี่ทิ้ง พี่ก็ต้องคิดถึงมัน พี่เลยไม่ทิ้งดีกว่า ต่อให้ไม่ได้เล่น ให้ยังเห็นมันอยู่ก็ยังดี อย่างน้อยช่วงนึงเราก็เคยรักมันมาก”



ถึงตรงนี้ผมจุกในเลย...... นึกถึงตัวเอง เออ ทำไมเราทิ้งเครื่องเกมได้ ทำไมเราทิ้งแผ่นเกมได้ แต่เราทิ้งความรู้สึกตรงนี้ไม่ได้



ผมเห็นความรักเกมระดับสูงของพี่ขนาดนี้ ต่อให้พี่เล่นเกมไมได้เรื่อง ผมก็เรียกพี่ว่าเกมเมอร์ได้ว่ะ เพราะใจเค้าใช่จริงๆ


วันนี้เหมือนผมได้นั่งมองอดีตแบบเต็ม ๆ แล้วกลับมามองภาพรวมปัจจุบันอีกครั้ง 



วงการเกมบ้านเราเปลี่ยนไปเยอะมาก ยังไงเราก็ต้องหมุนตามมันไปอยู่ดี ผมว่านะ ช่วงนึงของคนเล่นเกม มันจะต้องมีช่วงเวลาแบบนี้แหละ ช่วงที่เราจะรักมันมากที่สุด แล้วเราจะเก็บช่วงนั้นไว้ตลอดไป ไม่ว่าปัจจุบันจะเปลี่ยนไปแค่ไหน มันก็จะอยู่ที่เดิมของมัน


อยู่ในที่ ๆ เราพร้อมจะขุดมันขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้


บางที ไทม์แมชชีนที่ดีที่สุด ก็คือช่วงเวลาที่เราได้คิดถึงสิ่งเหล่านี้แบบจริงจังนั่นเอง


วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เกรียนกรึ่มกรึ่ม ตอน ตบเกรียน

(ต้นฉบับปี 2557)

              

เกรียนกับการตบเนี่ยนะครับ เป็นของคู่กันมาตั้งแต่โบราณกาล  เท่าที่จำความได้


ซึ่งตามหลักทฤษฏีวิทยาศาสตร์ของ ศจ.ดร.โธมัส มุลเลอร์ ณ บาเยิร์นมิวนิค ได้กล่าวไว้ว่า "วัตถุทรงกลมและเกลี้ยงนั้นจะมีแรงดึงดูด ให้อยากจะเอาอะไรสักอย่างไปสัมผัสด้วยความแรงระดับปานกลาง ถึงมาก ถึงมากที่สุด ยิ่งถ้าเป็นทรงผมแล้วล่ะก็ มีหลิมๆ เล็กน้อยจะยิ่งเพิ่มความอยากตบมากเป็นทวีคูณ" เรียกว่าอยากทำร้ายกันอย่างไม่ทราบสาเหตุเลยทีเดียว


จะว่าไปผมนี่ก็คุ้นเคยกับการตบมาตั้งแต่จำความได้ ในอดีตการตบถือเป็นการรักษาโรคแบบภูมิปัญญาชาวบ้านสุด ๆ



มาอธิบายให้ดูเป็นทางการอีกครั้ง การตบในความหมายของคำกริยาคืออะไร คือการสัมผัสอย่างแรงจากวัตถุที่เป็นพื้นราบนั่นเอง อืม รู้สึกวันนี้ทำไมมันดูวิชาการเหลือเกิน


การตบคือการรักษาที่คลาสสิคที่สุด ตอนเด็กบ้านยายผมมีทีวีขาวดำอยู่เครื่องนึง เสาอากาศรับสัญญาณเฮงซวยมาก ๆ วันนั้นผมนั่งกอดเข่าไข่โผล่เล็กน้อย ดูอุลตร้าแมนทาโร่  ดูไปสักพักภาพจู่ ๆ แม่งก็เลื่อนขึ้นเว้ย เด็กยุคเคเบิ้ลไม่เข้าใจหรอก แต่ถ้าเป็นพวกแก่ ๆ จะเข้าใจอารมณ์นี้เลย มันคือปัญหาระดับชาติ!! มึงจะเลื่อนหนีกูไปไหน สักพักสปีดการเลื่อนเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น..... หยุดสิโว้ย ทำไมไม่หยุด เฮ้ย ไม่ต้องดูมันแล้วว้อยยย กำลังจะร้องไห้แล้ว คุณยายเดินมาพอดี


“มันเลื่อนอีกแล้วเรอะ”


คุณยายพูดพร้อมกับเอามือไปลูบๆ ข้างทีวีขาวดำเครื่องนั้น ลูบไปเหมือนกึ่งๆ กำลังหามุมหาเหลี่ยมอะไรสักอย่าง ลูบไปลูบมา สักพักแกตบเข้าข้างทีวีเลย ผลั้ว!!!! 



ราวกับมีเวทมนต์ ไอ้ภาพที่มันเลื่อนๆ เร็วๆ มันค่อยๆ ช้าลง ช้าลง


แล้วมันก็กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม!!!


เฮ้ย ผมแม่งโคตรทึ่งอ่ะ ทีเดียวอยู่เลย ทำได้ไงวะ จากนั้นมาผมจำแบบเป็นวิชาการเลยนะ อ๋อ..... ถ้าเครื่องใช้ไฟฟ้ามันเกิดรวน เกิดผิดปกติอะไรขึ้นมา เราต้องตบมันนะ ตบแม่งเลย ก็ไม่รู้ล่ะว่ามันไปสั่นสะเทือนโดนชิพตัวไหน แต่ตบแล้วหาย



จากนั้นมาอะไรเสียผมตบแหลกเลยครับ ทีวี เครื่องเกม ตลับเกม ตบทีวีนี่ถ้าตบบ่อยๆ เราจะรู้เหลี่ยมครับ ว่าต้องโดนตรงไหน ใช้น้ำหนักฝ่ามือกี่% ตบเป็นจังหวะอะไร ส่วนใหญ่มุมตบที่ดีที่สุดจะอยู่ด้านขวาบน ส่วนใหญ่ตบแล้วหายครับ ถ้าตบซ้ายนี่เสียหนักกว่าเดิมอีก ถ้าไม่หายคิดว่าอาจพัฒนาจากตบเป็นตีเข่า


เครื่องเกมนี่ก็ตบได้ครับ ในกรณืที่กดปิด Power แล้วเปิดใหม่ยังเล่นเกมไม่ได้ ให้ตบหนักเลยครับ ตรงไหนตบได้ตบเลย ตบให้ทั่วเครื่อง ระหว่างตบก็ด่ามันไปด้วย 



“ไอ้เครื่องเหี้ยนี่ มึงจะหายมั้ย ไม่หายกูซื้อใหม่นะ” 


ตบไปด่าไป แล้วกด Power อีกครั้ง โอ้ว..... ดั่งปาฏิหาริย์ มันกลับมาเล่นได้อีกครั้งเฉยเลย  ของแบบนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่


ตบตลับเกม.... นี่ก็ตบแล้วหายเหมือนกัน แต่พูดถึงตลับเกมสมัยก่อนนี่ จริง ๆ เรามีวิธีซ่อมแบบภูมิปัญญาชาวบ้านเยอะมากนะ แต่ละวิธีไม่รู้ไปเรียนรู้กันมาจากไหน แต่นึกถึงทีไรคำ ๆ นี้จะลอยมาทันที  โคตรคลาสสิค.......


ตบตลับนี่แค่เบื้องต้น ขั้นแอดวานซ์นี่เราจะแกะตลับออกมาเลย เหลือแต่แผงวงจรเขียวๆ ถึงจุดๆ นี้ตบไม่ได้แล้วนะ ตบแล้วแผงทิ่มมือ ใช้เป่าเอา 



เป่าตลับ!!! 


เป่าแรง ๆ เหมือนหมอกำลังไล่ผีที่สิงอยู่ในแผงเกมอ่ะ ถ้าไม่ได้ผล เอายางลบมาถู ๆ ๆ ที่แผงวงจร ประมาณว่าลบสิ่งชั่วร้ายออกไป 


บางคนยางลบเอาไม่อยู่ เอาไปตากแดด!!! เอาไปตากแดดฆ่าเชื้อโรค!!! อ๋อ ตกลงที่เกมมันเล่นไม่ได้นี่เพราะมีเชื้อโรคแฝงอยู่งั้นเหรอ 


เคยเห็นเพื่อนผมนี่เอาไปตาแดดเหมือนกัน แต่มันทำผมสะเทือนใจมาก มันเอาไปตากถาดเดียวกับปลาสลิดเลย อืม ตกเย็นก็ได้เมนูใหม่ละทีนี้ แผ่นเกมแดดเดียว......


ไอ้ที่พูด ๆ เรื่องตบสมัยก่อนนี่ไม่ใช่อะไรครับ ถือว่าเล่าสู่กันฟัง  เพราะเป็นของหายากละครับ   เดี๋ยวนี้หาดูไม่ได้แล้ว เราอยู่ในยุคที่ทีวีไม่ต้องตบ เพราะติดเคเบิ้ลชัดแจ๋วทุกเครื่อง เครื่องเกมก็ขายไม่ค่อยออก เพราะคนเล่นในคอมกับมือถือ ส่วนตลับเกมนี่.... มันคืออัลไล??? 



ได้ยินคำว่าตลับเกมกูรีบแอ๊ปไม่รู้จักทันทีเลย มันเคยมีของแบบนี้เกิดขึ้นในโลกมนุษย์ด้วยเหรอ

 




แล้วเคยสงสัยมั้ย ว่าทำไมเมื่อคิดถึงการทำร้ายไอ้พวกเกรียน เราจะนึกถึงการตบเป็นอันดับแรก



แน่นอนเหตุผลที่มาเป็นอันดับหนึ่ง ด้วยรูปทรงของวัตถุ เหมือนเราเห็นลูกบอลแล้วอยากเตะฉันใด หัวเกรียนมันก็น่าตบฉันนั้น 


แหม่นะ..... นึกภาพหัวเกรียน ๆ โค้งเว้าข้างนี่ แค่นึกถึงฝ่ามือก็สั่นเครือแล้วอ่ะ มันอยากตบจริง ๆ จะแรงจะหนัก จะตบด้วยเกลียด หมั่นไส้ หรือเอ็นดู อะไรก็ว่ากันไปทีหลังแล้วกัน เรียกว่ากระตุ้นให้เลือดไปเลี้ยงฝ่ามือได้ดีโคตร ๆ


แล้วกลุ่มเป้าหมายอยู่ไหน วัยเด็กจนถึงวัยรุ่นนี่แหละ ซึ่งเป็นวัยที่พวกเราจะไม่ค่อยมีอีโก้กันเท่าไหร่ ตบแล้วแค่เจ็บ ตบมาก็ตบคืน แต่ถ้าเรียนจบ ทำงานแล้วนี่ก็ต้องให้เกรียรติกันนิดนึง ถ้าโดนตบนี่ไม่จบแค่ตบคืนแน่  ตอนเด็ก ๆ นี่ผมก็ตัวโดนตบกระจายเลยนะ และก็เป็นฝ่ายไปตบเค้าก็เยอะเหมือนกัน



จริง ๆ การตบหัว เล่นหัวนี่ถือเป็นการหยามอย่างรุนแรงเลยนะครับ จริง ๆ ผู้ใหญ่จะสอนเลยว่าห้ามเล่นด้วยซ้ำ แต่ก็อย่างว่าอ่ะนะ ยิ่งห้ามก็ยิ่งทำ คือถ้าเด็ก ๆ เพื่อนสนิทตบเล่นกันนี่ เราไม่รู้สึกอะไรเลยนะ เหมือนเป็นการแกล้งกันปกติ



บางทีเพราะไอ้สนิทนี่แหละ มันไม่ใช่แค่ตบหัวไง มันเดินมาต่อยเลยก็มี บางทีนึกครึ้มอะไรขึ้นมา เตะตัดขา เจาะยาง สวนตูด อ่อ...... สรุปคือไอ้สิ่งที่เราโดนกระทำในวัยเยาว์ ตบหัวนี่ดูเมตตาสุดแล้ว 


เพราะหนักสุดที่ผมเคยโดนคือ กระโดดถีบ..... ทุกวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจอารมณ์ ณ จุดนั้นว่า มึงคิดอะไรอยู่..... ทำไมต้องโดดถีบกูด้วยยยย


ตบเกรียนนี่เราแยกได้เป็น 2 แบบนะครับ คือ “ตบเล่น” กับ “ตบจริง”



ตบเล่นนี่ไม่มีพิษมีภัย ถ้าคนตบกับคนโดนตบสนิทกันมาก ตบเอามันมือเฉย ๆ พอเลือดสูบฉีด พอให้คนที่ไม่รู้จักพวกมึงได้ลุ้นกันเล่น ๆ ว่า เฮ้ย มันจะต่อยกันรึเปล่าวะ


ส่วนตบจริงนี่ผมไม่แนะนำ มันคือการตั้งใจทำร้ายร่างกาย ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความเป็นเกรียนเลยครับ โทสะล้วน ๆ ต่อให้เป้าหมายจะน่าตบแค่ไหนก็ตาม เรื่องตบนี่ให้อยู่แค่ตบเล่น กับตบเป็นมุกก็พอ


เพราะถ้าตบเป็น รู้ว่าใครตบได้ตบไม่ได้ เกรียนจะตบกันด้วยความสนุกสนาน เบิกบานที่สุดในสามโลกา การตบแล้วได้เสียงฮานี่ ถือเป็นศิลปะขั้นสูงนะครับ ไม่ใช่ใครก็ทำได้ง่าย ๆ เพราะโคตรเปลืองเนื้อเปลืองตัวเล้ย ไม่ฮาก็เจ็บตัวฟรีอีก เสี่ยงเป็นโรคน้ำในหัวไม่เท่ากันด้วย


แต่ทุกวันนี้ พวกหัวรุนแรง ตบจริงก็ยังมีอยู่นะ พวกนี้ตบปุ๊บหันไปสวนหมัดปั๊บเลย เป็นเรื่องเป็นราวข่าวใหญ่ นักข่าวลูบปากเขียนข่าวเลยทีเดียว ตบแรงนี่ยังไงก็ต้องต่อยอยู่แล้ว ไฟท์บังคับ คงไม่หันไปถามตบผมทำไมแน่นอน 



ซึ่งถ้าสวนหมัดนี่ผมแนะนำให้เลิกนะครับ มันมีวิธีเอาคืนที่ดีกว่านั้น


เกรียนไทยต้องรักกันไว้ครับผม ถ้าเค้าตบจริงมา เราทำแบบพระเอกละครไทยเลยครับ


จูบแม่งเลยยยยยย!!!!


ตบจูบนี่ก้อคลาสสิคคคคค!!! อ้วกกก ทุ้ยยยย...สสส  จบดีกว่า