วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2559

เกรียนกรึ่มกรึ่ม ตอน ข้าวไข่เจียว


(ต้นฉบับปี 2557)






ย้อนไปเมื่อประมาณต้นปีที่แล้ว  ผมเคยเขียนถึงมาม่า และเหล่ามวลบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป  จนแทบจะชาบูขึ้นหิ้ง ยกตำแหน่งให้เป็นอาหารมหาเทพที่คอยค้ำจุนเกรียนไทยอันดับ 1 ตลอดกาล



จนถึงบัดเดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นที่ 1 อยู่ ซึ่งตอนนั้นยอมรับว่า ผมอวยซะเวอร์หักโหม ประหนึ่งมีหุ้นอยู่บริษัทมาม่าเลยทีเดียว


แต่เอาจริงๆ ผมว่าผู้ท้าชิงอันดับ 2 อย่าง ข้าวไข่เจียวร้อน ๆ ก็ไม่ได้ห่างไกลจากอันดับ 1 มากมายขนาดนั้น


ซึ่งเชื่อว่าวัดกันด้วยกลิ่น  มาม่าอาจชนะเลิศในรัศมีไม่เกิน 10 เมตร แต่ถ้าให้เอา 2 อย่างมาวางอยู่ตรงหน้า  ให้เลือกกินอย่างใดอย่างหนึ่ง ผมว่าไม่แน่  อาจมีพลิกโผ


ลองนึกภาพสถานการณ์จำลอง คุณกำลังเล่นเกมอยู่หน้าเครื่อง พร้อมกับซดมาม่าอย่างเอร็ดอร่อย


แต่ทันใดนั้นเอง ไอ้เครื่องข้างที่ลุกไปไหนก็ไม่รู้เมื่อกี้ กลับมาพร้อมข้าวไข่เจียวร้อน ๆ จานใหญ่ ราดซอสชุ่มฉ่ำ โรยพริกน้ำปลาหน่อยนึง...... เชื่อมั้ย ล้านทั้งล้าน ไอ้มาม่าที่กำลังซด ๆ อยู่ตรงหน้า มันจะดูด้อยวรรณะลงมาทันที ข้าวไข่เจียวจะดูกลายเป็นอาหารกษัตริย์มงเปลลิเยที่ 14.5  ดูน่าแย่งชิง น่าเป็นเจ้าของการย่อยอาหาร 


ถ้าไม่ติดว่าฆ่าชิงทรัพย์ผิดกฎหมาย คงได้มีคนตายเพราะถูกแย่งข้าวไข่เจียวกันบ้าง


จะว่าไปผมกับข้าวไข่เจียว และร้านเกม มันก็ผูกพันกันในระดับนึง จำได้แม่นข้าวไข่เจียวจานแรกที่ได้กินในร้านเกม มาจากความหน้าด้านโดยแท้ 


ตอนนั้นประมาณ ป5 - 6 นี่แหละ ไอ้ผมกับเพื่อนก็นั่งเล่นเกมอยู่ในร้าน ป้าเจ้าของร้านทำกับข้าวอยู่หลังบ้าน  กลิ่นหอมชิบหาย   หอมจนไม่เป็นอันเล่นเกม   ยิ่งวันนั้นเอาเงินค่าก๋วยเตี๋ยวมาเล่นเกมด้วย


ไอ้ 2 ตัวนี่ตาไม่ได้มองจอแล้ว ชะโงกชะเง้อมองแต่หลังบ้าน ผ่านไปสักพัก กับข้าวเต็มโต๊ะ กลิ่นทรมานกระเพาะอาหารมาก แล้วป้าแกกับลูกก็มานั่งกินแบบไม่สนใจสายตาใคร ไอ้ผมกับเพื่อนนี่ทิ้งน้องจอยมาเกาะขอบหน้าต่างแล้ว เกาะเป็นจิ้งจกขอส่วนบุญเลย 


และทันใดนั้นเอง

“หิวเหรอ....?? กินมั้ยลูก เดี๋ยวป้าแบ่งให้”


เหยดดดด  นี่มันเสียงสวรรค์ชัด ๆ ป้าแกช่างใจบุญเหลือเกิน ไม่เสียชื่อที่ตั้งชื่อร้านเกมกิตติมศักดิ์ว่าร้านป้า ถามว่าถึงแม้จะถามเป็นมารยาท และถ้าเราเป็นเด็กดีมีการศึกษา เราก็ควรจะเกรงใจใช่มั้ย แต่เด็กดีมีการศึกษาที่ไหนจะเอาเงินค่าก๋วยเตี๋ยวที่บ้านมานั่งกดเกม 


เรื่องหน้าด้านผมนี่ขั้นเทพมาตั้งแต่เด็ก จะเหลือเหรอ เอาสิครับ ขอบคุณป้ามากๆ ครับ ขอข้าวกับซอสท่วม ๆ จานนะครับ


ว่าแล้วป้าก็จัดไข่เจียวร้อนๆ ใส่จานพร้อมข้าวมาเลย


จากนั้นหน้าเครื่องก็เป็นดั่งสรวงสวรรค์....  การเล่นเกมมีความสุขกว่าเดิม 100 เท่าจากปกติ อาจเป็นเพราะตอนนั้นมันหิวมากๆ ประกอบกับข้าวไข่เจียวอร่อย และประเด็นสุดท้าย..... มันเป็นของฟรี 


ของฟรีมักอร่อยกว่าปกติ 2 - 3 เท่า ไม่เหมือนจ่ายเอง


บางทีที่ผมผูกพันกับมาม่า อาจเพราะมันทำง่าย สั่งง่าย แค่มีชามกับน้ำร้อนก็จบ แต่ความสุขมันหาสู้ข้าวไข่เจียวร้อน ๆ ไม่ได้



ผมว่าถ้าเราเป็นคนไทย ยังไงก็ต้องกินข้าว  เวลาหิวจัด ๆ ข้างหน้ามีพิซซ่าถาดใหญ่ กับข้าวไข่เจียวฟู ๆ สวย ๆ อยู่ข้างหน้า


คนอื่นผมไม่รู้ แต่ผมกระโดดหาข้าวไข่เจียว


ข้าวไข่เจียวจัดว่าเป็นเมนูสำหรับคนไส้แห้งอันดับต้น ๆ ในสายข้าว รองลงมาก็ปลากระป๋อง น้ำพริก นี่แหละคือแก่นแท้ของการกินเพื่ออยู่รอด 



จริง ๆ ผมรู้จักและผูกพันกับข้าวไข่เจียวมาตั้งแต่เด็กมาก ๆ เพราะตอนเด็กกินเป็นแค่อย่างเดียว เพราะพี่เลี้ยงผมตอนเด็กทำกับข้าวเป็นแค่อย่างเดียว ถามว่ากินทุกวันมันอร่อยมั้ย ก็อร่อยนะ แต่รู้สึกตัวเองกระจ๊อก กระจอกยังไงไม่รู้ เพราะไม่รู้จักอาหารชนิดอื่นเลยตั้งแต่อนุบาลยันประถม 


และมาถึงวันนึง จำเหตุการณ์สะเทือนใจได้แม่น


วันปีใหม่มีกินเลี้ยงกันที่โรงเรียน ครูประจำชั้นบอกให้เอาอาหารที่บ้านมาคนละ 1 อย่าง แน่นอนผมไฟท์บังคับอยู่แล้ว ไม่ต้องเลือกเลย ไข่เจียวที่คุ้นเคย 



แต่พอถึงวันจริง ดูกับข้าวเพื่อนคนอื่นในห้อง 
ข้าวหมูแดง!! หมูกรอบ!! ข้าวมันไก่!! ขาหมู!!! ไก่ทอด!!! 

บางคนโชว์พิซซ่าตั้งแต่เด็ก ไอ้เด็กเปรตมึงจะรวยไปไหน แต่ละคนนี่มันอะไรกัน แต่ไฮไลท์ของห้องอยู่ที่เด็กกินผัดกระเพรา ซึ่งเป็นที่ตื่นตะลึงและมหัศจรรย์มากถ้าเด็กคนไหนแดกผัดกระเพราได้ เพราะเด็กส่วนใหญ่กินเผ็ดไม่ค่อยได้  


ครูเห็นนี่แทบจะมอบโล่ มอบเกียรติบัตร เชิญครูใหญ่ สส นายก โคตรเหง้าศักราชมาถ่ายรูปหน้าเสาธงเลยทีเดียว


อ่ะ แล้วให้ทายว่าทุกคนมองไข่เจียวของผมยังไง.......


เชี่ยแม่ง แต่ละคนนี่มองด้วยสายตาเวทนาสุด ๆ ไนท์เด็ก..... นายเติบโตมาในสังคมแบบไหนกันหรือ ทำไมนายกินไข่เจียว พวกเราโตเป็นผู้ใหญ่ประถม 1 กันแล้ว เราเลิกกินไข่เจียวราดซอสมะเขือเทศไปแล้ว 



และที่เจ็บปวดยิ่งกว่า แม่งไม่มีใครสนใจไข่เจียวของผมแม้แต่คำเดียว ในขณะที่คนอื่นสวิงกิ้งกับข้าวกันอย่างสนุกสนาน   ผมนี่นั่งกินข้าวไข่เจียวตาปริบ ๆ ไม่มีใครมาแบ่งไปกินเลย เหมือนจะมีน้ำตาคลอเล็กน้อยด้วย 


สุดท้ายก้อทนไม่ไหว ต่อมน้ำตาแตกนั่งร้องไห้อย่างน่าสงสารสุดๆ (ผมเชื่อว่าคนอ่านหลายคนร้องไห้ตาม เพราะมันสะเทือนใจจริงอะไรจริง)


แต่ที่น่าแปลกใจคือ พอเราเข้าสู่รั้วมหาลัย สถานการณ์ของความเป็นข้าวไข่เจียวดันพลิกกลับ 



จากเมนูสุดมืดมนในวัยเยาว์ ข้าวไข่เจียวกลายเป็นสุดยอดอาหารเรืองแสงในชั่วโมงเร่งด่วน ชั่วโมงทำงาน หรือเวลาที่สมองอุดตันคิดอะไรไม่ออกขึ้นมาซะยังงั้น


และยิ่งอยู่ด้วยกันเป็นหมู่คณะนะครับ แบบว่ากำลังสาละวนทำรายงาน หรือเล่นเกมกันอย่างบ้าคลั่งจนเลยเวลากินข้าว  อย่าได้มีใครเปิดก่อนเชียว   มีตามมากกว่าหนึ่งแน่นอน


แล้วมันไม่รู้เป็นอะไร ไอ้คนเปิดมักเดินไปเปิดแบบลับ ๆ ไปแอบสั่งหรือแอบไปทอดเองตอนไหนไม่รู้   รู้สึกตัวกันอีกทีก็ฟูฟ่องมาพร้อมกลิ่นหอมอำมหิตวางที่โต๊ะแล้ว 



ที่เหลือก็แทบจะทิ้งเม้าส์ทิ้งจอยลุกไปสั่งพร้อมกันเลยทีเดียว


เฮ้ย!! กูด้วย!!

2 เลย!!!

เฮ้ย 3 เลย!!!

มึงทอดเผื่อทุกคนเลยสัส!!!! ทอดให้แม่งหมดลังเลย


บางร้านบริการตัวเองนะครับ จ่ายเงินแล้วไปทอดกันเอง ใครเสร่อออกตัวว่าทอดไข่เก่งล่ะก็ มึงไม่ต้องกลับมาที่เครื่องแล้วล่ะ ยืนตีไข่ทอดไข่อยู่ตรงนั้นเลย โหดร้ายมาก


ข้าวไข่เจียวถือเป็นเมนูล่องหนในร้านเกม หรือร้านเน็ต  เป็นเมนูที่เราไม่เคยเห็นรายการเมนู  แต่มันมีอยู่จริง ขอเพียงความกล้าที่จะปรารถนาจะแดก แต่ก็ต้องดูเจ้าของร้านด้วย ถ้าเป็นป้าเป็นลุงใจดี ๆ ลองเจรจาเลย  แต่ถ้าเป็นสก๊อยหน้าตาขี้เกียจ  ก็ฝันไปเถอะว่าจะได้กิน


จากนั้นมาเมนูข้าวไข่เจียวก็ถือว่าเป็นเมนูอมตะนะครับ เป็นเมนูที่คลาสสิคและไม่มีวันตายจนถึงบัดเดี๋ยวนี้ ตราบใดที่คนไทยยังมีช่วงเวลาเร่งรีบ และนิสัยสิ้นคิด 



บางคนไม่รีบ ไม่สิ้นคิด แต่กินเพราะคิดถึง ตั้งใจจะเสพความอร่อยของมันจริง ๆ ก็มี


และความทรมานอย่างหนึ่งของผมตอนนี้ก็คือ ต้องเขียนคอลัมน์นี้ไปพร้อมกับคิดถึงไข่เจียวไปด้วยตลอดเว


และอย่าแปลกใจครับว่า เมื่ออ่านคอลัมน์ตอนนี้จบแล้ว คุณอยากจะหาข้าวไข่เจียวสักจานมากินหน้าคอม


ไข่เจียวสักจานมั้ยสัส !!!




วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2559

ROซอกหลืบ ตอน หน้าร้อน สงกรานต์ ไอศกรีม


(ต้นฉบับปี 2549)


ซอกหลืบหน้าร้อน สงกรานต์ และไอศครีม


โอ  พระจอร์ชเจ้า เป็นครั้งแรกที่หัวข้อมาแบบไตรภาค


เชื่อเลยว่าส่วนใหญ่คิดในใจ ไนท์หนุ่มหมดมุกแน่ ๆ  เลยจับเรื่องใกล้ตัวมายำมั่วในตอนเดียว เขียนเอาตัวรอดไปอีก 1 สัปดาห์


เอ่อ มันก็จริง  ว่าแต่ฟังขึ้นหัวก็น่าสนใจดีนะ ตั้ง 3 เรื่องแน่ะ


ก่อนอื่นผมต้องแสดงความยินดีกับพวกเราชาวไทยด้วยครับ เราเฝ้าอดทนกันมาหลายเดือน หน้าร้อน ฤดูร้อนกำลังจะผ่านพ้นไปแล้วครับ


นับจากนี้จะเป็นการมาของ “ฤดูร้อนตับแตก” ซึ่งเป็นฤดูใหม่ของประเทศไทย


ผมเคยชอบอากาศร้อนแห้งของประเทศไทยครับ   อาจารย์ท่านหนึ่งบอกว่า  “แดดทำให้คนไทยแข็งแรง” ผมเองก็ไม่รู้เหตุผล อาจเป็นเพราะแสงแดดช่วยฆ่าเชื้อโรคล่ะมั้ง


แต่จากนี้ มันกำลังจะเข้าสู่ฤดูที่ทั้งร้อน ทั้งชื้น


ผมฟันธงฉับขาดสะบั้น เพราะนี่คือช่วงคาบเกี่ยวระหว่างฤดูร้อน และฤดูฝน


จำได้ว่าเมื่อปีที่แล้ว ย่างเข้าเดือนพฤศจิกายน ฝนมันก็ยังหน้าด้านตกอยู่อย่างนั้น แถมแดดยังไม่ส่องด้วย เป็นอะไรที่หงุดหงิดมาก ได้แต่จุดธูปภาวนาว่าเมื่อลมหนาวพัดมา ก็ให้มันพัดอยู่นาน ๆ ด้วยเถอะ


แต่เปล่าเล้ย มันมาพัดให้เย็นเล่น ๆ 2 เดือน ก็โดนแดดไล่ไป  เมืองไทยนี่แสงแดดใหญ่สุดครับ   ผมทั้งภูมิใจและผิดหวังกับพลังดวงอาทิตย์


คิดดูเถอะ กลางปีนี้ฝนมาไล่แดดไม่ได้หรอก เราจะได้เจอทั้ง 2 อย่าง เตรียมตัวประสาทกินกันได้เลย ไหนพวกที่จะรอฟังผลสอบเอ็นทรานซ์อีก อากาศแบบนี้ ได้เครียดดิ่งเหวกันแน่


จะว่าไป หน้าร้อนก็มีทั้งดีทั้งเสีย ไม่ใช่ว่าผมเกลียดฤดูร้อนหรอก  ผมไม่ชอบอากาศร้อนต่างหาก  จำได้ว่าตอนเด็กผมเคยเฝ้ารอช่วงนี้ให้มาถึงเร็ว ๆ เหลือเกิน ถ้าใครเป็นเด็กจะนึกไม่นานครับ ว่าทำไม


ปิดเทอม.... ไปเที่ยว ทะเล สงกรานต์ ฯลฯ


หน้าร้อนนี่เหมาะกับการปิดเทอมใหญ่ที่สุดแล้วครับ เพราะถ้าฝืนให้เด็กเรียนต่อ ได้เครียดน้ำลายฟูมปากเป็นหมาบ้าคาห้องเรียน


แต่บางคนก็หนีไม่รอด  เช่นผมเป็นต้น พวกเขาถูกผู้ปกครองส่งไปลงนรกที่เรียกชื่อสวยหรูว่า “คอร์สซัมเมอร์”


ตอนเด็กผมก็เป็นหนึ่งในนั้น  แล้วไอ้ที่ผมไปเรียนจัดมันตารางได้เฮงซวยมาก ๆ 


เข้าเรียน 9 โมงเข้า เรียนคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษจนถึงเที่ยง พัก 1 ชั่วโมง (แสรด  วิชาแสนรักของตูทั้งนั้น.... ประชด !!)


ตอนบ่ายเป็นวิชาพละครับ พี่แกให้ไปเล่นบาสฯ  วอลเล่ย์บอล ฟุตบอล กลางแดดเปรี้ยง แล้วแต่จะเลือกชนิดกีฬา เล่นจนถึง 4 โมงเย็น


ไอ้ตอนเช้ามันพอทนได้  แต่ช่วงบ่ายนี่มันไม่ไหวจริง ๆ จำได้ว่าวันแรกผมชวนเพื่อนโดดไปนั่งวาดการ์ตูนในห้องน้ำจนถึงเลิก แถมล็อคประตูห้องน้ำใหญ่แม่งซะเลย


หลังจากวันนั้นผมก็หนีเรียนจนจบคอร์ส ซึ่งจริง ๆ เป็นความผิดเต็ม ๆ ประตู  แต่ความรู้สึกผมมั่นกึ่งผิดกึ่งถูก  (ประมาณทำผิดแต่คิดถูกอ่ะ)  เพราะผมอึดอัดที่จะอยู่ที่นั่นไง  ยอมถูกไม้เรียวฟาด 1 วัน ดีกว่าต้องเล่นกลางแดดเปรี้ยง 30 วัน


จากเคสที่เคยผ่านมา มันทำให้ผมกล้ายืนยันเลยครับว่า ยังไงหน้าร้อนก็เหมาะกับการผ่อนคลายมากกว่า


ความร้อนมีอาณุภาพเปลี่ยนความตั้งใจคนมากกว่าความเย็น


หากไข่ไก่โดนความร้อนแล้วกลายเป็นไข่ลวกฉันใด คนเมื่อโดนความร้อนก็เปลี่ยนไปได้ฉันนั้น


ความร้อนนี่ก็เหมือนความกดดันนะครับ    ใครที่เอาชนะความร้อนได้ ใครที่ต้องทำงานกลางแดดแล้วรู้สึกมีความสุขนี่ผมยกนิ้วให้เลย ท่านได้บรรลุแก่นการใช้ชีวิตแล้ว


เขียนไปก็เริ่มอินกับความร้อน  เข้าเรื่องเย็น ๆ บ้างดีกว่า


นอกจากนี้ครับ ฤดูร้อนยังทำให้น้ำมีค่ามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการอาบน้ำ การดื่มน้ำเย็น ๆ หรือไปว่ายน้ำ


ในความกดดันนั้น ถ้าได้เจออะไรเย็น ๆ นะ เป็นอะไรที่รู้สึกดีเป็นบ้าเลย แม้จะเย็นเป็นช่วง ๆ ก็เถอะครับ แต่มันก็ทำให้เรามีกำลังแรงสู้ต่อไป


แน่นอน หน้าร้อนที่เราขาดไม่ได้  กิจกรรมสาดน้ำในตำนาน


“วันสงกรานต์อ่าวเปอร์เซีย”  กับฉากสงครามกลางเมืองที่เวียนกลับมาหาคนไทยทุก ๆ ปี


วันที่ผมกำลังนั่งเขียนอยู่นี่ ผมคิดว่าคงเพิ่งผ่านมาชนิดที่เรียกว่าหมาด ๆ เสื้อยังไม่แห้งกันเลย

ก่อนหน้านั้น เมื่อปลายเดือนที่แล้ว เพื่อนมันโทรมาเล่าให้ฟังว่า มีขบวนแห่นางสงกรานต์ที่หน้าสยามพารากอน ผมรีบเปิดทีวีดู เอ.... ทำไมหน้านางสงกรานต์มันหน้าคล้าย ๆ เจ๊กขายขวดวะ หัวขาว ๆ มากันเหลืองระงมเลย เขาจะไปกินเจกันใช่มั้ยนั่นน่ะ

เอ่อ... ตัดไปเรื่องอื่นดีกว่า  ว่าจะไม่เขียนถึงแล้วนะเนี่ย

กลับเข้าเรื่อง

เอาล่ะครับ ผมให้เวลา 10 นาที ถ้าใครตากผ้าไว้ รีบไปเก็บผ้าด่วนเลยครับ ขณะนี้ซอกหลืบกำลังเข้าสู่สาระโหมด เกรงว่าฝนจะตกหนัก น้ำท่วม จะเกิดความเดือดร้อนในครัวเรือนเอาได้ (เฮ้ย ขนาดนั้นเชียวเหรอวะ)


อยากรู้ความหมายของคำว่า “สงกรานต์” กันไหมครับ แบบว่าประดับความรู้กันชิลด์ ๆ

คำว่า “สงกรานต์” มาจากภาษาสันสฤกต แปลว่า ก้าวขึ้น ย่างขึ้น หรือการย้าย การเคลื่อนที่ พระอาทิตย์เคลื่อนที่เข้าสู่ราศีใหม่ หมายถึงขึ้นปีใหม่ของไทยเรานั่นเอง


เชื่อว่าเด็กๆ หลายคนคงทำหน้าสงสัยแบบน่ารักๆ “พี่ไน๊ท์.... มะเหงเกี่ยวกะสาดน้ำตรงไหนเลย”


ผมก็คงกระโดดถีบกลับไปด้วยความน่ารักๆ เช่นกัน


สาดน้ำมันก็เป็นแค่กิจกรรมหนึ่งในสงกรานต์ไง เช่นเดียวกับการทำบุญ ตักบาตร ปล่อยนกปล่อยปลา สรงน้ำพระ รดน้ำผู้ใหญ่ เล่นก่อเจดีย์ทราย


แต่เผอิญการเล่นน้ำ มันน่าเล่นที่สุด


เพราะมันสามารถแตกแขนงเป็นกิจกรรมอื่น ๆ แสนปายับปายี้ได้อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นระเบิดน้ำแข็ง ประแป้ง จับนมแฟนชาวบ้าน รีมิกซ์เพลง จับกลุ่มเต้นท่าเปรตขอส่วนบุญ ฯลฯ


จากประสบการณ์เล่นสงกรานต์ทุกปี ผมจะบอกว่ามันอนาถขึ้นเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ ก็คงไม่ผิดนัก เมื่อก่อนมันไม่ปาทังก้าวาไรตี้ขนาดนี้นี่หว่า


ตอนเด็กผมมีแค่ปืนฉีดน้ำรูปโดนัลด์ดั๊ก 1 กระบอก และขันน้ำพลาสติกเดนตาย 1 อัน และการสาดน้ำแต่ละครั้งของผมก็ไม่เคยเกิน 450 มิลลิกรัม แรงเหวี่ยงของน้ำก็ไม่ถึง 40 ก.ม/ช.ม


เพื่อน ๆ ที่เล่นด้วยกันทุกคนในหมู่บ้านก็เป็นอย่างนี้ พ่อแม่ผู้ปกครองมายืนมองหน้าบ้านท่านก็อดอมยิ้มกับกิจกรรมแสนซนแบบนี้ไม่ได้ บางท่านยังมาร่วมวงฉีดน้ำด้วยกันเลย


แล้วผมเองก็ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ มันเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่


สมัยนี้พอพ่อแม่ได้ยินว่าลูกจะออกไปเล่นสงกรานต์   หัวใจแทบสลาย ความรู้สึกเหมือนกับว่าลูกจะออกไปตรวจกับระเบิดชายแดนฝั่งลาว โอกาสรอดชีวิตกลับมาครบองค์   คงมีต่ำพอ ๆ กับไปว่ายน้ำเล่นในบ่อจระเข้


ถ้าผมมีลูก ผมก็คงเป็นห่วงเขาเหมือนกันล่ะครับ   กลัวออกไปแล้วจะโดนใครจกกินเป็นอาหาร   หรือกลัวว่าแก้วหูจะระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ เพราะทนเสียงนวัตกรรมเครื่องยนต์มอไซด์ของพวกนักซิ่งสมองควายไม่ไหว


ยิ่งนานเข้า สงกรานต์มันก็เหมือนจะยิ่งห่างไกลการสาดน้ำมากไปทุกที


ผมหมายถึงความรู้สึกของการสาดน้ำใส่กันยิ่งไม่ค่อยมีให้กันทุกที หม่อมแม่เล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนการสาดน้ำหมายถึงสาดความสุขใส่กันครับ ในอากาศที่ร้อน ๆ นี้ ความเย็นจากน้ำก็คือความสุขดี ๆ นี่เอง


จริง ๆ มันเป็นความหมายที่คิดได้ไม่ยากเลยนะ  เออ  เพราะเราร้อนไง  การให้ความเย็นก็คือการให้ความสุข


หรือคิดแต่ว่า  ถึงเวลาเราก็มาสาดกันให้เปียกโชกเท่านั้น


เหมือนมาตรฐานความสุขของคนไทยกำลังเปลี่ยนไป น่าเครียดแล้วนะครับอย่างนี้   ว่าขอเพียงสนุกสะใจ  ใครจะรู้สึกยังไงตูไม่สน


สารภาพว่าตอนที่ผมออกไปข้างนอก มีทั้งความสนุกและความกลัวปะปนกัน

จำได้ว่าปีที่แล้ว มีวันนึงที่ผมไม่ได้เล่นสงกรานต์ เพราะต้องนั่งรถออกไปเป็นเพื่อนซื้อของกับแม่ที่ห้างใกล้ ๆ บ้าน

ระยะทางจากห้างกลับบ้าน เป็นระยะทาง 700 เมตร โดยประมาณ

ผมเห็นคนนั่งกินเหล้าข้างทาง แถมยังมอมคนที่เล่นสงกรานต์ผ่านไปมา

ผมเห็นจิ๊กโก๋รุมชกต่อยกัน สาเหตุผมไม่รู้ว่าเพราะอะไร

ผมเห็นลุงกะป้าแก่ ๆ เอาดินสอพองไปป้ายคนซ้อนมอไซด์ ทั้ง ๆ ที่เขาบอกปัดว่าไม่

ผมเห็นเด็กอายุประมาณ ม. ต้น คู่หนึ่ง ยืนดูดยืนล้วงกันอย่างไม่อายใคร

ผมเห็นกระเทยควายใส่ชุดว่ายน้ำทูพีช กระโดดขึ้นไปเต้นบนโต๊ะ

ผมเห็นสาว ๆ กลุ่มหนึ่งแต่งตัวโป๊แนบเนื้อ ไปรุมโปะแป้งผู้ชายที่เดินผ่านไปมา ก่อนถือวิสาสะหอมแก้มทีนึงแล้วแรดไปหาเหยื่อต่อ

และจากนั้นผมก็เห็นอะไรไม่ชัดเจนนัก เพราะมีคนเอาดินสอพองมาละเลงกระจกรถจนเลอะไปหมด

โห  อะไรมันจะบู๊ล้างผลาญกันขนาดนั้น

ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าหลังจากนี้อีกสักกี่สิบปี มันจะพัฒนาและเปลี่ยนรูปแบบกันไปถึงไหน  สำหรับเทศกาลสาดน้ำที่เห็นแล้วแทบอุทาน สาดเอ้ย !!

ถ้าจะขนาดนี้  

ผมเลือกนั่งเล่นแรค กินไอศกรีมอยู่บ้านดีกว่ามั้ง......