วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2558

เกรียนกรึ่มกรึ่ม ตอน พบปะกันหน้าเตา (ตอนจบ)


(ต้นฉบับปี 2556)


ความเดิมฉบับที่แล้ว เรารู้จักการมีทติ้งไปพอกรึ่มกรึ่ม ฉบับนี้เรามาต่อกันเลยดีกว่า อย่าช้า 



เรากำลังจะเข้าสู่ดินแดนแห่งการกินไม่อั้นและมิตรภาพ  สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ขาดไมได้ครับ นอกจากกระเป๋าตังค์ นั่นคือ กล้องถ่ายรูป 



มาเจอหน้ากันทั้งทียังไงก็ต้องมีรูป มันคือจดหมายเหตุมีทติ้งแห่งชาติ มันคือไทม์ไลน์ที่จะบ่งบอกการดำเนินเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ใช่แค่สิบกว่ารูปแน่นอน บางมีทถ่ายกันเป็นร้อย ไม่รู้จะถ่ายไปถมหลังบ้านใคร เรียกว่าจัดหนักจัดเต็ม





เวลานัดที่เหมาะสมนะครับ ส่วนใหญ่แน่นอนกินตอนเย็น เพราะร้านมันเปิดตอนเย็น จะให้กินตอนกลางวันร้อนๆ หน้าเตาก็ร้อนคงไม่ไหว ตายห่านกันพอดี  แต่บางคนก็มีวอร์มอัพกันตั้งแต่เที่ยง คือจานหลักมาตอนเย็นใช่มั้ย อ่ะ พวกเราบางคนฟิตมาก ออกมาจัดของว่างกันก่อน ไม่แมคโดนัลด์ก็สเวนเซ่นส์ 



พวกนี้ส่วนใหญ่จะเอางบมาเยอะนะครับ ส่วนพวกภาคค่ำนี่จะเป็นพวกอดอยากปากแห้ง มีงบพอแค่หมูกระทะเท่านั้น แต่พูดเป็นเล่นไป สมัยนี้ออกมาเที่ยวแบบนี้วันนึงเฉียดๆ พันเลยนะ สมัยเรียนผมนี่ของบแม่ได้วันละ 150 เอง เพราะไม่มีค่ารายงานวิชาไหนถึงพันแน่นอน  (โอ  มุกเดิมแสนคลาสสิค ขอเงินทำรายงาน....)




ตอนแรกผมว่าการมีทติ้งนี่นะครับ เวลาทุกคนมาเจอกันน่าจะเกิดอาการเกร็ง ไม่รู้จะคุยยังไง มันไม่เคยชิน ไอ้ครั้นจะเอาคอมมาคนละเครื่องแล้วต่อเน็ตคุยกัน เคยชินก็จริง แต่มันเวอร์เกินไป ดูปัญญาอ่อนอีกต่างหาก



ภาพที่ผมคิดไว้ ทุกคนนี่คงแบบว่า นั่งกุมมือ ก้มหน้า ผู้ชายนั่งกุมไข่ ผู้หญิงวิจัยผัก ปรากฏว่าไม่ใช่เลย 



สารภาพครับ ส่วนใหญ่เวลาไปมีทติ้งผมชอบไปเลทนึดนึง กะว่าเข้าไปกลางเรื่องดีกว่า ผมไม่ชอบบรรยากาศแบบนั้น แบบที่ต่างคนต่างนั่งเกร็ง...... 



แต่พอผมไปถึงทีไร มันไม่ใช่อ่ะพี่ชาย มันเป็นอะไรที่คึกโครมมาก!!! คำแรกที่พุ่งเข้ามาในหัว คือ พวกมึงจะสนิทกันไปไหนวะ!!!! 



โอ้โห เดี๋ยวฮา เดี๋ยวฮา แช๊ะ!! ถ่ายรูป ลุก แย่งกันพูด แย่งกันยิงมุข!! เจอกันครั้งแรกแน่เหรอเนี่ย!! สนิทเกินธรรมชาติมากๆ จะบอกว่าดูตอแหลก็ได้นะ ประมาณนั้นเลย จะกลายเป็นกูนี่แหละที่นั่งกุมไข่ซะเอง 




ตอนนั่นผมรู้สึกว่า ผมหัวโบราณมากๆ อ่ะ คิดเอาเองว่าไอ้การทำความรู้จักในโลกออนไลน์มันยังไม่เป็นทางการนะ เราต้องมาแนะนำตัวกันใหม่


แต่เอาจริงๆ ไม่ต้องอะไรมากเลย เดินเข้ามาถึงโต๊ะ 

ผมพระโหดกระโดดฮีลครับ!!!




“โอ้โห้ยยยยย คนนี้นี่เอง!!!!!”



“เฮ้ยยยย จริงเหรอเนี่ยยยยย!!!!”



“แล้วนี่ใครครับเนี่ย”



“ผมแอสอะครุคริอิอิกรำจุงเบยแจ้!!!!”



“เฮ้ยยยย คนนี้เองเหรอเนี่ยยยย”



“เฮ้ยยยย จริงเหรอเนี่ยยยยย!!!!”



“ผมนักดาบปราบผีครับ!!!!”



“เฮ้ยยยย คนนี้เองเหรอเนี่ยยยย”



“เฮ้ยยยย จริงเหรอเนี่ยยยยย!!!!”



ผม......



“เฮ้ยยยย คนนี้เองเหรอเนี่ยยยย”



ยังโว้ยยยย!!!!




นั่น ยังไม่ได้ถาม จะตื่นเต้นกันไปไหนวะ เค้าพกปีกแองเจลลิ่งมาด้วยรึไง จะโหจะเฮ้ยอะไรนักหนา 



แต่มันก็เป็นอย่างนี้จริงๆ ของผมนี่หนักเลย  ผมไนท์หนุ่มครับ.....



เฮ้ยยยยย ตัวเป็นๆ เลยนะเนี่ย ไม่เชื่ออ่ะ ไหนหูปลาปากเหล็ก หน้าตาไม่น่าตลกเลยเนอะ เอาปีโก้จอดไว้ไหนครับเนี่ย โพริ่งสุรเดชไม่มาด้วยเหรอ มนัสอยู่ไหนเนี่ย ตกลงพี่สอยดากส์คุณปันยาไปรึยัง... 



เอ่อ อืมม...อ่า เอ้อววว กินหมูเห๊อะ นะ ขอล่ะ ถามเอามันส์เลยนะเนี่ยพ่อคุณ คำถามว่าหนักแล้วนะ ถ้าดันไปตอบหมดนี่คนตอบคงอาการหนักกว่า



ก็นี่แหละครับ มันทรงประมาณนี้ มันเข้ากลางเรื่องได้เลย แม้จะเจอกันครั้งแรก แต่ใครสนิทกับใครมาก่อนในจอยังไง ออกมาเจอหน้ากันก็ยังงั้นเลยครับ เป็นอะไรที่ประทับใจมากๆ มนุษย์สัมพันธ์คนไทยไม่แพ้ใครในโลก




ถึงแม้ธีมโดยรวมจะออกไปทางสนิทกันปานจะฉีกตูดดม แต่มันจะต้องมีครับ...... ในกลุ่มมันจะต้องมีคนแบบนี้แน่นอน



คือคนที่ตามคนอื่นเค้าไม่ค่อยทัน แย่งพูดไม่เก่ง!! นั่งซิ้ม ยิ้มหวาน เล่นมือถือแก้เขิน บางทีแกล้งลุกหายไปสักพัก ใครเค้าถามเล่นๆ ว่าไปไหนมา อ๋อ ไม่ได้ไปไหน.... อยากให้แกถาม แค่นั้นเอง  ชีวิตทำไมต้องดราม่าขนาดนี้



บางคนก็ยอมไม่กินอะไรเลย แต่จิตใจนี่อย่างหล่อ น้ำใจงามจนแทบจะก้มกราบ ช่วยย่างเนื้อให้เพื่อนๆ ทุกคน โอ้โห แม้จะร้อนแต่ก็ย่างไปอย่างไม่ย่อท้อ เสิร์ฟใส่จานให้ด้วยนะ ให้ไอ้พวกที่คุยไปกินไปรู้สึกผิดเล่นๆ 


บางคนมาแบบไม่พูดไม่จาอะไรกับใครเลยก็มี ตูมาเพื่อเน้นกินอย่างเดียว แล้วก็..... เวลาเช็คชื่อก็จะได้ยกมือว่า มาครับ!! มันต้องขนาดนั้นเลยเรอะ




ว่าด้วยเรื่องกินบ้าง จำนวนเตาที่เหมาะสมสำหรับการมีทติ้ง อยู่ที่ 3 เตา



3 เตานี้มีความหมายนะครับ เตาที่ 1 หมายถึงโลกมนุษย์ เตาที่ 2 หมายถึงโลกออนไลน์ และเตาที่ 3 หมายถึงโลกของมิตรภาพ



เมื่อรวมทั้งหมดแล้ว ก็จะหมายถึงอะไรดี..... มั่วซะลึกซึ้ง เอาเป็นว่าส่วนใหญ่ที่เห็นมากๆ จะมี 3 เตาละกัน



ซึ่งเตาหมูกระทะนั้นจะมีเลเวลของมันนะครับ เลเวลแรกจะเป็นเลเวลปกติ คือเตาหมูกระทะใช่มั้ย งั้นก็ย่างมันแต่หมูละกัน คือมีแต่เนื้ออย่างเดียว แบ่งอาณาเขตโซนกันเรียบร้อย รอบๆ เตาเป็นน้ำซุปเปล่าๆ เอาไว้ให้หมูมันสไลด์ลงไปเล่นๆ แล้วก็ขึ้นมา สไลด์ลงไปเล่นๆ แล้วก็ขึ้นมา สไลด์ลงไป


อืม...... บางคนรำคาญ ลงไปครั้งที่ 3 ก็ต้มมันแทนเลยละกัน ไม่ต้องขึ้นมาแล้ว




เลเวลต่อมาเป็นพวกจัดเต็ม ไม่ต้องแบ่งโซนอะไรทั้งนั้น ย่างหมูเหมือนเล่นเกมพัสเซิล คือลงๆ ไปเหอะ ลงยังไงก็ได้ให้ไม่มีที่ว่าง ผักเผิกก็เด็ดก็หักใส่ลงไป ถมให้มันเต็มๆ หมูจะได้สไลด์ลงไปไม่ได้ ดูเหมือนจะเน้นผักด้วย แต่ที่ไหนได้ แค่เอาไว้ถมไม่ให้หมูสไลด์ลงไปจริงๆ



ผ่านไปชั่วโมงนึง ผักก็ยังอยู่ที่เดิม แต่กลายเป็นจับฉ่ายอาม่าไปแล้ว ส่วนเนื้อก็ไหม้กันไปตามระเบียบ เพราะเยอะเกิน กลับไม่ทัน




เลเวลสุดท้าย เป็นเตาแห่งความปล่อยวาง เป็นเตาว่างๆ มีเนื้อย่างอยู่ชิ้น 2 ชิ้น นัยว่าก็คือไม่ชอบกินหมูกระทะ แพ้มันหมู มีความหลังกับเตาถ่านอะไรก็ว่าไป ไม่อยากมาว่างั้น แต่ก็ต้องมาเช็คชื่อเพราะเป็นหน้าที่ และเน้นการพูดคุย แอบซดน้ำซุปบ้างกันคอแห้ง เนื้อช่างแม่มมัน เตาจะดำไหม้ก็ปล่อยให้เป็นไปตามกรรม



แต่ส่วนมากจะว่างไม่ตลอด พอท้ายเรื่องไอ้พวกชุมชนแออัดจากเตาจัดเต็ม มันจะต้องย้ายมาขออาศัยทุกที แต่ก็เป็นอะไรที่ดีเหมือนกัน เพราะจะมีคนที่ไม่กินช่วยกลับเนื้อให้แบบไม่เอาอะไรตอบแทน อืม.... ไม่กินไม่ว่า แต่อย่าทำให้รู้สึกผิด น้ำตาจะไหลทีเดียว




และสุดท้ายที่ขาดไม่ได้ เมื่อกินกันจนอิ่มอืด นั่นคือการเอาน้ำไปหยดบนเตาเล่นๆ ให้มันดังฟู่วว.... ฟู้ววว


จะบ้าเหรอ ไม่ใช่!!! ถึงจะมีบางคนทำจริงๆ ก็เถอะ 



สุดท้ายที่ขาดไม่ได้จริงๆ นั่นคือการถ่ายรูปหมู่ครับ ถ่ายกันแบบจัดเต็มก่อนจะจากกัน ใครแกล้งใคร ใครหลุดรั่วก็ปล่อยหมด เรียกว่าใช้สถานที่กันให้คุ้ม จนถึงงานเลี้ยงที่ต้องเลิกรา ต่างคนต่างกลับบ้าน แต่ความรู้สึกที่ได้กลับไปก็อิ่มไม่แพ้หนังท้องเลยทีเดียว




ส่วนตัวผมรู้สึกว่ามันแปลกๆ กับคนที่เห็นหน้ากันครั้งแรก แต่ก็เหมือนจะสนิทกันซะเหลือเกิน ผมเคยอ่านข้อความนึงบอกว่า


“โลกมันจะเหวี่ยงคนประเภทเดียวกันมาให้เจอกันเสมอ”



อาจเป็นไปได้ ด้วยความที่ครึ่งนึงเราเหมือนกัน ก็ไม่ต้องปรับตัวอะไรมากมาย




เพื่อนกินหาง่าย เพื่อนออนไลน์หาไม่ยาก แต่ถ้าหาเจอมากๆ ก็อย่าลืมมีทติ้งนะตัวเธอ กฎหมายเค้าบังคับไว้ ฮ่าๆ











วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2558

เกรียนกรึ่มกรึ่ม ตอน พบปะกันหน้าเตา (ตอนแรก)


(ต้นฉบับปี 2556)


มิตรสหายท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า “ใครก็ตามที่มีชีวิตอยู่ในโลกออนไลน์ มันผู้นั้นต้องรู้จักการมีทติ้ง”



ซึ่งเป็นความจริงครับ และผมก็ซาบซึ้งกับประโยคนี้ซะเหลือเกิน ซาบซึ้งจนอยากจะพามิตรสหายท่านหนึ่งคนนั้นไปมีทติ้งสักที



แต่เกรงว่าท่านจะรักษาคอนเส็ปตัวเอง หากพาไปมีทติ้ง เราก็จะรู้จักกัน เราก็จะรู้ว่าเค้าเป็นใคร ทีนี้จะเรียกว่ามิตรสหายท่านหนึ่งก็ไมได้แล้ว เราอาจจะต้องเรียกเค้าว่าสุรเดช งั้นก็ข้ามไปดีกว่า



ไม่ต้องสงสัยนะว่าทำไมต้องสุรเดช แมวพิมพ์




แล้วการมีทติ้งคืออะไร??? 



ทำเป็นจะสอนไปงั้นๆ แหละ ผมว่าคนอ่านก็รู้กันหมดแล้ว โอเค งั้นแกล้งทำเป็นไม่รู้ มันคืออะไร??........ 



แปลให้เข้าใจง่ายๆ มันคือการนัดมาเห็นหน้ากันในโลกความจริง!!! คือถ้าเป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว รู้จักกันอยู่แล้ว เราเรียกว่านัดเที่ยวปกติ ไม่มีใครไปเที่ยวกับเพื่อนที่มหาลัยแล้วเรียกว่ามีทติ้งแน่ๆ



แต่ถ้ามิตรภาพนี้ก่อกำเนิดขึ้นในโลกออนไลน์ล่ะก็ เราจะเรียกว่ามีทติ้ง เพราะ...... เราจะเรียกมันว่ามีทติ้ง อืม ไม่งงนะ ไม่งง แมวพิมพ์อีกแล้ว




จะว่าไป การมีตติ้ง ยิ่งเป็นครั้งแรกนี่อารมณ์จะตื่นเต้นมาก เพราะมันคือการออกมาจากหน้าจอเหลี่ยมๆ มาเห็นหนังหน้ากันครั้งแรก ว่าไอ้ที่มันเดินตามแจมตูดทุกๆ วันเนี่ย หน้าตามันเป็นยังไง  ไอ้คนที่มันใจดีดีลโน่นดีลนี่ให้ทุกวันๆ เนี่ย ตัวจริงมันพ่อพระขนาดนี้หรือเปล่า




ยิ่งค่ำคืนก่อนจะมีทติ้งนี่ยิ่งตื่นเต้นเลย มันจะมีสตอรี่ หรือเรียกง่ายๆ ว่า มันจะมีเกริ่น คืนนั้นจะเป็นคืนเกริ่นนำ ว่าพรุ่งนี้จะพวกคุณจะต้องเจออะไรบ้าง อารมณ์เหมือนดูทีเซอร์หนังเรื่องนึง แต่ยังไม่เห็นหน้าคนแสดง 



หลักๆ ในการเกริ่นที่เจอบ่อยๆ เลยก็คือ เพื่อลดความตื่นเต้นลงบ้าง บางคนที่เกร็งเกินไป มันก็จะเอารูปมาให้ดูก่อน เพื่อลดความคาดหวังและกดดันให้ตัวเอง  แต่ถ้าใครเสร่อเอารูปมาโพสให้ดูก่อนว่าหน้าฉันเป็นแบบนี้นะ  จำไว้นะ  ให้ลืมไปได้เลย  เพราะนั่นอาจจะเป็นรูปที่ดูดีที่สุดในชีวิตมัน หรือเรียกว่ารูปหากินนั่นเอง



ยิ่งเป็นผู้หญิงนี่ต้องหารสิบ อาจเป็นรูปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว สมัยยังไม่กินหมีควายท้องแก่แม่ลูกอ่อนเข้าไป




อีกประเภท บางคนจะเห็นหน้ากันพรุ่งนี้ คือยังไงก็ต้องเห็นอยู่แล้ว ก็ยังอุตส่าห์ทำตัวลึกลับซะเหลือเกิน เอารูปมาโพสเหมือนกัน แต่โพสรูปปิดหน้าปิดตา หันหลบมุม ลงทุนตัดหน้ากากกระดาษมาใส่ หรือถ่ายซูมให้เห็นแค่ติ่งหู ทำให้ตัวเองเหมือนตัวละครลับที่ต้องกดสูตร เพิ่มความน่าสนใจ ได้แค่คืนเดียวก็เอา



บางคนก็ออกไปทางยิงเจตนารมณ์ ประกาศกร้าวเลยว่าจะถ่ายรูปคนนี้ๆ ให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นตายอย่างไร ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะแพคคู่มากะไอ้คนก่อนหน้านั้นแหละ เข้ากันดีเหลือเกิน คนนึงลึกลับ อีกคนจะแฉ 



บางคนก็ประกาว่าจะไปขอลายเซ็นพี่คนนี้ให้ได้ แบบว่าตามผลงานมานานแล้ว ไอ้พี่คนนั้นมันก็งงนะ เฮ้ยเรามีผลงานอะไรให้ติดตามวะ วันๆ ก็เดินตีมอนส์ ขายของดองเค็มไปเรื่อย มันเอาอะไรมากรี๊ดกูวะเนี่ย อืม เอ่อ อ่า เอ่อ แต่ถ้าอยากได้ก็เอาวะ จะสนองให้แบบงงๆ ละกัน





บางคนมันก็เกร็งครับ กลัวทำตัวไม่ถูก ประเภทนี้มีเยอะเหมือนกัน พวกไม่รู้จะไปอยู่กับใคร ก็เลยหิ้วเพื่อนไปด้วยคนนึง ให้มันไปงงเล่นๆ ว่าที่นี่ที่ไหน แล้วไอ้พวกนี้เป็นใคร แล้วตบท้ายด้วยคำถามที่ว่า ทำไมชั้นต้องมาเป็นคู่เกย์กับแกด้วย ก็ให้อุ่นใจกันไป 



แต่เอาจริงๆ ก็แนะนำว่าถ้าเป็นไปได้  ก็อย่าเลยครับ  คนนอกจะเพิ่มขึ้นเปล่าๆ เรามาที่นี่เพื่อมิตรภาพใหม่เอี่ยมแกะกล่อง เปิดใจรับอะไรใหม่ๆ ดีกว่ามาอยู่กับน้ำพริกถ้วยเก่านะ (เอ๊ะ ยังไงวะ ใช้คำแปลกๆ)




มะ มาถึงเลือกชุด..... นี่ก็เรื่องสำคัญ คือเรื่องชุดนี่ จะมีคนอยู่แค่ 2 ประเภทนะครับ คือจริงจังระดับชาติ กับไม่จริงจังอะไรเลย



พวกกลางๆ มีมั้ย ก็น่าจะมีแหละ แต่ผมดูไม่ออกเลยว่ะ คือพวกจริงจังระดับชาตินี่ดูออกตั้งแต่แรกเห็นเลยครับ จัดเต็มมาเลยตั้งแต่หัวจรดเท้า เสื้อผ้าหน้าผมบ่งบอกความเป็นตัวเองสุดๆ ถ้าแนวก็โคตรแนวเลย ล่ามโซ่เป้ายาน แว่นดำ ทรงผมใส่เจลใส่แว๊กซ์แหลมเปี๊ยบ แข็งป๊าก เรียกว่าแข็งแบบแทงคนตายได้เลย 



ถ้าทรงเนี๊ยบนี่จัดซะหล่อเวอร์ แขนยาว กางเกงสุดหรู หูรูดทองคำ ยังกะพ่อคุณทูนหัวอาศัยอยู่ในวังจุฑาเทพ 



ส่วนพวกไม่จริงจังอะไรเลย นี่ก็จะมาแบบไม่ใส่ใจรูปลักษณ์ภายนอกเลยแม้แต่นิดเดียว เคยใส่ยังไงหน้าคอมพ์ ก็ใส่ยังงั้นแหละออกมาจากบ้าน เป็นตัวของตัวเองและขี้เกียจในสไตล์เดียว การมีทติ้งไม่ได้มีความพิเศษอะไรสำหรับพวกเขาเลย เหมือนไปตามคำสั่งหัวหน้ากิลด์


จะซีเรียสแค่อย่างเดียวเท่านั้นครับ คืออย่าลืมกระเป๋าตังค์ เท่านั้นจริงๆ



ว่ากันต่อด้วยเรื่องสถานที่ จากที่ผ่านประสบการณ์มา 90% ของกลุ่มมีทติ้งไทยแลนด์แห่งชาติ มักมาตายรังที่หมูกระทะหัวละ 89 หมด อีก 10% ที่เหลือไม่รู้ 



โดยเฉพาะการมีทครั้งแรกมักมาจบปาหมอนแบบนี้เสมอ แต่เชื่อมั้ย ตอนคุยกันก่อนหน้านั้นน่ะ ไม่มีใครอยากมากินสักคน ถ้าไม่ใช่เมื่อ 8 ปีที่แล้วนะ สมัยที่หมูกระทะเกาหลียังบูมใหม่ๆ ตอนนั้นทั้งเด็กยันรุ่นพ่อแม่เราพร้อมใจกันไปโดยไม่เถียงกัน



แต่พอมายุคนี้ ทางเลือกมันเยอะขึ้นไง การนัดหมายจะออกมาทรงนี้ครับ...... มาเป็นแบบโครงการ 1 คน 1 ร้าน สมมติในกลุ่มมีทมี 10 คน!!! ก็เสนอมา 10 ร้าน!!! แล้วไอ้ที่เสนอมานี่ก็คัดสรรมาแต่ใกล้บ้านตัวเองทั้งนั้น



แล้วในกลุ่มมีทติ้งไม่รู้ทำไม มันต้องมีสักคน 2 คนที่บ้านอยู่ไกลมหาศาลกว่าชาวบ้านชาวช่อง หรือถ้าไม่ไกลเวอร์ มันก็จะต้องมีกฎเหล็กว่าพ่อแม่ไม่ให้กลับดึก!!! เป็นครอบครัวดีมีกฎระเบียบขึ้นมาทันที อืมนะ ลูกห้ามกลับบ้านดึก แต่เล่นเกมยันเช้าได้ อัลไล



แล้วไอ้ 10 ร้านนี่นะ เรียกว่าไม่ซ้ำกันเลย ราเม็ง ชาบู ซูชิ พิซซ่า สเต็ก ไก่ทอด ลาบเป็ด เห็ดย่าง บ่างชุบแป้งโกกิ ฯลฯ แล้วสุดท้ายมันก็จะตกลงกันไม่ได้ สุดท้ายก็เลยตัดปัญหาด้วยการกินหมูกระทะ......... จบ




จบครับ จบแบบเบื่อๆ คล้ายๆ เห็นโกโบริตายในจอครั้งที่ 20 



อืม... เอาก็เอาวะ เราไม่ได้เน้นรสชาติ เราเน้นพบปะสังสรรค์ อย่างน้อยๆ เราคิดในแง่ดีที่สุด มันก็เหมือนเอาทุกร้านที่เสนอมามารวมอยู่ในร้านเดียวล่ะวะ เพราะบางร้านมันครบเครื่องจริงๆ ครับ มีหมดทุกอย่าง!!! ตั้งแต่ก้อนเกลือยันเนื้อทีเร็กซ์ คือเน้นให้มีครบอย่างเดียวเท่านั้น ไม่เน้นรสชาติ



ซูชินี่ปูอัดเป็นริ้วมาเลย สเต็กนี่ สาบานว่ากินเนื้อเหมือนกินสกอตไบร์ทตากแดด แห้งมาก เหมือนหมักพร้อมกันทีเดียวร้อยชิ้น จืดโคตร ประโยชน์เป็นรูปธรรมมีแค่อย่างเดียว คือเอาไว้ถ่ายรูป เพราะมันดูเยอะ ใส่ลูกเล่นแอฟซะหน่อยก็แจ่มแล้ว โอ้โห ใครจะเชื่อ เนื้อแห้งๆ เติมวิ้งๆ ปิ้งๆ ดูดีขึ้นมาทันที ซูชิเศษปลาน่ากิ๊น น่ากิน 


เอาเถอะ เผื่อเก็บไว้ดูปลงสังขารในช่วงบั้นปลายชีวิต ว่าอย่าไปยึดติดกับคำว่าบุฟเฟ่ราคาถูก



จะว่าไป แพล่มมาถึงตอนนี้ การมีทหน้าเตายังไม่เริ่มขึ้นเลย สงสัยจะยาว ต้องไปต่อฉบับหน้าแล้วล่ะ บ่องตง......





วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2558

เกรียนกรึ่มกรึ่ม ตอน เกมปกอ่อน


(ต้นฉบับปี 2556)

หมายเหตุ.... คอลัมน์ตอนนี้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการดักแก่ตัวเอง แต่ถ้าใครที่ยังวัยรุ่นอยู่ อยากจะอ่านเพื่อศึกษาความแก่ของคนในครอบครัว ก็ถือเป็นสิ่งที่ดี

ข้อควรระวัง ห้ามเอาความแก่มาล้อเด็ดขาด เพราะมันเจ็บมาก 


มา... มาเข้าเรื่องกันเลยนะหลาน


จะว่าไปยุคนี้มันเป็นยุคของการทัชสไลด์ ปรื้ด ปรื้ด กันหมดแล้ว ย้อนกลับไปอีกหน่อยก็เป็นยุคของเกมคอมพิวเตอร์ครองเมือง อ่ะ ย้อนกลับไปอีก ก่อนหน้านั้นก็เป็นยุคของเพลย์สเตชั่น เกมอาเขต เครื่องซุปเปอร์


นี่คิดดูเอานะ ขนาดย้อนกลับไปตั้ง 3 ยุค แม่งยังดูไฮเทคอยู่เลยอ่ะ!!! แน่นอนเลยว่า สิ่งที่ผมกำลังจะเขียนถึงต่อไปนี้ อาจทำให้เด็กดิจิตอลหลายคนถึงกับเอามือทาบอกแล้วอุทานว่า


“โอ้ว คุณพระ เมืองพุทธเราเคยมีแบบนี้ด้วยหรือ....” แน่แท้ทีเดียว



ผมเรียกเจ้าสิ่งนี้ว่า “เกมปกอ่อน”




ซึ่งมาจาก เกม+สมุดปกอ่อน สมุดปกอ่อนคืออะไร มันก็คือสมุดเลกเชอร์นั่นแหละครับ แต่ปกมันไม่แข็ง ปกมันจะเป็นกระดาษสีธรรมดา เล่มละ 5 บาท มี 20 หน้า ถ้า 8 บาทมี 40 หน้า


ดูเหมือน 8 บาทจะคุ้มกว่าใช่มั้ย แต่เอาจริงๆ เกมปกอ่อนนี่มันมีอาถรรพ์นะครับ ซื้อเล่มหนามาก็เท่านั้นแหละ เพราะเขียนจริงๆ ไม่ถึง 16 หน้า ไม่รู้ทำไม นี่คือขยันสุดๆ แล้วนะ ที่เหลือก็เอาไว้ฉีกมาเป็นกระดาษทด หรือสอบเก็บคะแนนอะไรก็ว่ากันไป




เกมปกอ่อนคืออะไร มันก็คือเกมที่อยู่ในสมุดปกอ่อนไงฟาย.... 


แปลได้น่าถีบยอดหน้ามาก เอาง่ายๆ มันคือเกมที่เราเขียนเองในสมุด โดยมีแรงบันดาลใจมาจากเกมคอมพิวเตอร์น่ะแหละ คิดซะว่ากระดาษนี่คือหน้าจอ จุดมุ่งหมายหลักๆ คือ เอามาเล่นกันหลังสอบ!!! 


เด็กเรียนไม่เข้าใจหรอก ว่าการผ่อนคลายก่อนเข้าห้องสอบมันสำคัญแค่ไหน สำหรับเกรียนไม่มีอะไรมันส์ไปกว่าการมั่วข้อสอบอีกแล้ว



ซึ่งผมว่ามันเป็นอะไรที่คลาสสิกมากๆ ในยุคที่เราไม่ได้พกไอพอด หรือเครื่องเกมพกพา แต่ใจพวกลุงๆ น่ะมันโหยหาโคตรๆ ตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว เราก็เลยต้องดิ้นรนกันเอง


ทางออกก็คือผลิตมันขึ้นมาเองซะเลย โดยอาศัยภาพจำ....... จำมาเลย เราเคยเห็นหน้าจอเป็นยังไง เราเขียนมันออกมา วาดมันออกมา คือทำให้มันเป็นรูปเป็นร่างก่อน ส่วนจะเล่นยังไง อันนี้เดี๋ยวมาดิ้นรนกันต่ออีกเรื่องนึง



รูปแบบเกมปกอ่อนมันจะเป็นแบบนี้ครับ ได้อารมณ์สัสๆ เหมือนเปิดเครื่องเกมเล่นเองเลย เปิดหน้าแรกมันจะเป็นชื่อเกมก่อนครับ เขียนใหญ่ๆ อลังๆ ภาษาญี่ปุ่น!!!! แปลว่าอะไรก็ไม่รู้ มั่ว!!! บางคนเขียนมีมังกรเลื้อยผ่านด้วย แปลเป็นไทยก็แถได้ว่าหมัดมังกร นักรบมังกร อะไรประมาณนั้น




หน้าต่อไปเป็นอะไร มันก็ต้องเข้าสู่เกมสิครับพี่น้อง หน้านี้ก็อลังการไม่แพ้กัน เพราะเป็นการเขียนให้เลือกตัวละคร ซึ่งเราจะได้เห็นญาติโงกุนเต็มไปหมด คือดูหน้าก็รู้เลยว่าญาติกันแน่ๆ


ต้องเข้าใจก่อนนะ ว่ายุคที่ลุงผ่านมานั้น ลายเส้นดราก้อนบอลมันครองโลก ใครเขียนไม่เป็นมีปมแต่เด็กแน่ๆ ซึ่งตัวละครที่เลือกก็จะมีท่าไม้ตายบอกชัดเจน ว่าปล่อยท่าอะไรได้บ้าง ท่าบังคับคือคลื่นเต่า ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงละวะ นอกนั้นก็มั่วไปเรื่อย ตัวละ 4-5 ท่า  บางคนก็เขียนละเอียดว่า ท่านี้สร้างความเสียหายเท่าไหร่ ใช้ sp เท่าไหร่ บางคนบอกด้วยว่าต้องกดยังไง.......



ตอนนั้นสงสัยมาก เพื่อ!! จะกดยังไงวะ มีแต่กระดาษ ปรากฏว่าผู้ผลิตเกมเขาทำได้ มันให้เราทำมือเหมือนกำลังถือจอยเกม แล้วก็มโนภาพว่ากำลังกดท่าอยู่ มันจะดูนิ้วเราเว้ย ว่ากดถูกมั้ย ถ้ากดถูกมันก็จะปล่อยท่าให้ โอ้ว โคตรสมจริงเลยแสส!!! คารวะสิบจอก คิดได้ไง




ถัดมาหน้าต่อไปก็แน่นอน เขียนฉาก..... ฉากหากินก็ป่าไม้ใบหญ้า ภูเขา ทะเล น้ำตก อารมณ์ประมาณท่องเที่ยวไทยซะส่วนใหญ่ ลูกกระจ็อก บอสกลาง บอสใหญ่ อันนี้แล้วแต่ความขยัน บางคนขยันมาก เขียนเป็นสิบฉาก แต่พอเล่นจริงคนเล่นเบื่อตั้งแต่ฉากแรก 



ไอ้ฉากนี่เขียนอลังการไว้เหมือนจะดีนะครับ แต่พอเล่นไปสักพักนี่ก็จำฉากกันไม่ได้แล้ว เส้นดินสอปากกาวื่นวือไปหมด บางคนอินเนอร์แรง ยิงแสงกระดาษขาดเลยก็มี ยิงฉากที่ 2 ไอ้ฉาก 3 ดันอยู่กระดาษอีกด้านนึงพอดี แม่งทะลุมาฉาก 3 เลย


ซึ่งเราสามารถมั่วได้ว่า มันเป็นสูตรลับข้ามฉาก สามารถลัดไปฉากที่ 4 ได้เลย ซึ่งถึงแม้จะดูมั่วได้อย่างน่ามอบโล่ แต่ก็ไม่ควรใช้บ่อย เพราะเจ้าของเกมอาจน้อยใจ ไม่ให้ลอกการบ้านวันหลังได้



มาถึงวิธีการเล่นกันบ้าง นี่แหละคือจินตนาการสำคัญกว่าความรู้ มันจะเล่นยังไงให้สนุกวะ เราจะต่อสู้กันยังไงในหน้ากระดาษให้มันได้อารมณ์เหมือนถือจอยบังคับเอง ซึ่งทางเลือกมันก็มีอยู่ดังนี้



เป่ายิงฉุบ..... อันนี้โคตรเบสิก ผู้เล่นเลือกท่าไม้ตายมาท่านึง แล้วก็มาเป่ายิงฉุบกัน ถ้าเป่าชนะท่าไม้ตายก็ตีโดน ถ้าแพ้ก็ Miss ไป ถ้าเป็นไม้ตายสุดยอดก็เป่าหลายครั้งหน่อย เอาให้เหนื่อย


แล้วลองนึกภาพพวกตัวละครที่ HP เสร่อมาเยอะๆ นะ เป่าจนเบื่ออ่ะ ถึงกับต้องนั่งถามตัวเองเลยว่า กุกำลังทำอะไรอยู่วะเนี่ย มันได้อารมณ์เป่ายิงฉุบมากกว่าเล่นเกมนะนั่นน่ะ



ยิงด้วยปากกา..... วิธีนี้ผมอยากรู้จริงๆ ว่าใครเป็นต้นคิด!!! คิดได้ไงวะ!!! แทบจะคารวะล้านจอก เอาปากกาปักที่กระดาษ แล้วก็เอามือผลักปากกาออกไปเว้ย มันจะเหมือนยิงแสงอ่ะ นี่แหละเป็นนวัตกรรมที่ใกล้เคียงกับการใช้จอยโยกที่สุด แรกๆ มันจะตื่นตาตื่นใจมาก เหมือนปล่อยพลังได้จริงๆ


แต่พอผ่านไปสักพักแสงแม่งเต็มกระดาษละ สกปรกชิบหาย ยังสู้กันไม่รู้ผลอีก อันนี้แนะนำให้ใช้สูตรลับข้ามฉากในตำนานนะครับ ยิงแสงให้ทะลุกระดาษ แล้วตัดจบฉากนั้นไปเลย จบฉาก 1 เจอกันอีกทีฉากที่ 5 กระดาษขาดไป 3 แผ่น ยังไงการใช้กำลังยังเป็นทางออกที่ดีเสมอ



ยิงด้วยที่กดปากกา..... อ่า วิธีนี้ไม่เลอะเทอะ แต่ก็ต้องใช้ทรัพย์สินกันหน่อย ต้องใช้เหรียญบาทเป็นตัวโจมตี ยิงแบบที่กดปากกานี่ จะออกไปทางจอยชู๊ตติ้งนะครัส ยิงแม่นโดนศัตรูก็ลด HP กันไป


ถ้ามีพาวเวอร์อัพ จากเหรียญบาทก็จะกลายเป็นเหรียญห้า ร่างสุดยอดจะกลายเป็นเหรียญสิบ ซึ่งร่างสุดยอดมักจะมีอาถรรพ์เสมอ มันจะชอบหลุดเฟรมพุ่งลงท่อตลอด สิบบาทแลกกับการปราบบอสใหญ่ ทำไมมันออกไปทางเสียใจมากกว่าดีใจก็ไม่รู้นะ ฆ่าบอสได้แท้ๆ



ผมว่าเกมปกอ่อนมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับวาดรูปเล่นเท่าไหร่หรอกครับ แต่มันมีจินตนาการ มันไม่ใช่ต่างคนต่างเขียน เราเอามาแชร์กันมากกว่าเอามาบลัฟกัน


เกมปกอ่อนมันอาภัพอย่างครับ คือคนผลิตเสือกเยอะกว่าคนเล่น บางคนเขียนแม่ง 2 เล่มเลยก็มี เล่มนึงเอาไว้เล่น อีกเล่มเก็บไว้ดู พอคนเขียนเยอะกว่า มันก็เลยต้องอยู่รอดด้วยการถ้อยทีถ้อยอาศัย กุเล่นเกมมึง เสร็จแล้วมึงต้องมาเล่นของกุบ้างนะ มิตรภาพก็เลยบังเกิด ส่วนใหญ่จะกดดันให้เพื่อนต้องเล่นของเราก่อน เพื่อนแท้ไม่แท้ก็ดูกันตรงนี้แหละ



สุดท้ายไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ในรูปแบบใด ขอให้เป็นเกม เกมจะสร้างมิตรภาพให้กับเราได้เสมอ มันช่างคลาสสิคอะไรอย่างนี้......



วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2558

เกรียนกรึ่มกรึ่ม ตอน ฮอร์โมนเด็กติดเกม


(ต้นฉบับปี 2556)

“เจโลปี้เตอโลน” ฮอร์โมนเด็กติดเกม



ขออิงกระแสโคตรซีรี่ย์วัยรุ่นแห่งยุคหน่อยเถอะครับ ตอนนี้จะเข้าเว็บไหนบอร์ดไหนก็มีแต่ฮอร์โมนเต็มไปหมด มีแต่คนดูแล้วติดงอมแงมยังกะติดม้า



ไอ้ผมนี่ดูแค่ทุกตอน แถมยังโหลดมาดูอีกวันละ 4 รอบ ยังไม่เห็นติดตรงไหนเลย บ้ากระแสจริงๆ นะคนพวกนี้ กะอีแค่เนื้อเรื่องโดน ดาราหล่อ สวย น่ารัก เพลงเพราะ แค่นี้เอง มันน่าคลั่งตรงไหน



โอเค สารภาพว่าติดก็ได้ ทำตัวซึนไปคนอ่านจะหาว่าโตเป็นควายแล้วนะพี่ มาทำซึนเป็นเด็ก 14-15 น่ารักๆ แบบนี้ เดี๋ยวทำโทษจับเป็นคู่จิ้นระเบิดส้วมกับ บก. ซะเลย



อืม ผมคิดว่าถ้าจะทำกันขนาดนี้ มาเผาบ้านผมกลางดึกยังดูเมตตาปราณีกว่าเยอะ

  


อัน ”ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น” นี้มันคืออะไร



มันเป็นซีรี่ย์ของวัยรุ่นในชีวิต รร.ม.ปลาย เนื้อเรื่องขี้เกียจเล่าละเอียด แม่งยาว แต่เอาเป็นว่าแค่คาแรคเตอร์ก็โดนใจกันแล้ว มีหนุ่มหล่อหนุ่มป็อป(เชี่ยวิน) สาวสวยเพอร์เฟค (ขวัญ) เด็กชอบดนตรี(ต้า) เด็กชอบโดนตี และก็ไปตีเค้าก็มี (ไผ่) แล้วอะไรอีก พวกโลกสวย(ดาว) โลกส่วนตัวสูง(หมอก) สาวมั่น (สไปร์ท....ใส่ถุง) และคู่พระนางชายรักชายอีกคู่นึง


ไอ้คู่นี้ผมเห็นมันรูปดูดปากแลกเอนไซม์กันก่อนจะมาดูตั้งแต่ตอนแรกอีก


ผมกล้าเอาหัวแม่เท้าข้างซ้ายเป็นประกันเลยว่า ถ้าไม่มีไอ้คู่ภูธีร์เนี่ย เรทติ้งซีรี่ย์จะหายไปครึ่งนึงเลยอ่ะ เพราะนี่คือกลุ่มเป้าหมายรอง ที่สำคัญและเยอะกว่ากลุ่มเป้าหมายหลัก  คือพ่อแม่และเด็กวัยรุ่นทั่วไป  


คือไม่รู้จะโดนใจสาวๆ อะไรนักหนาเป็นร้อยเป็นพัน ความสุขของพวกคุณคือการดูผู้ชายทำยุทธหัตถีกันเหรอ



ผมเคยไปอ่านกระทู้นึงในเว็บบอร์ดนึงมาครับ ไอ้ที่หน้าเว็บมันสีม่วงๆ มีแต่คนคุณภาพทะเลาะกันให้ดูทุกวันอ่ะ นั่นแหละ



มีกระทู้นึงบอกว่า คาแรคเตอร์ในฮอร์โมนเนี่ย มันยังไม่ครบนะ โอเคที่มีอยู่มันก็สมจริงแล้วล่ะ แต่จริงๆ ในรั้ว ม.ปลาย เนี่ย มันยังมีเด็กอีกหลายประเภทที่เรื่องนี้ไม่ได้กล่าวถึง ซึ่งคอมเม้นท์ส่วนใหญ่คิดเหมือนผมเลยครับว่า
 


ทำไมถึงไม่มีเด็กติดเกม????



ใช่ครับ มันขาดเด็กติดเกมไป!!! ไอ้เรื่องเล่นเกมกับวัยเรียนนี่ เป็นของคู่กันเลยนะ แล้วไม่ว่าผมจะเรียนตั้งแต่ประถม ม.ต้น ม.ปลาย จนถึงมหาลัย ผมไม่เคยหนีไอ้พวกนี้พ้นเลย มันมีอยู่ทุกโรงเรียน!!



ผมว่ามันเป็นคาแรคเตอร์ที่สำคัญกว่าผู้ชายดูดปากกันอีกโว้ย อุ๊บ...สส ใจเย็นก่อนสาวๆ พูดเล่น แหม..... ทำหน้ายังกะผมไปขี้ใส่ตู้เย็นบ้านพวกคุณงั้นแหละ สำคัญพอๆ กันได้ไหมล่ะ นี่มันหนังสือเกมนะ



เด็กติดเกมนี่เป็นคาแรคเตอร์ที่ซับซ้อนนะครับ มันไม่ใช่จะคิดเอาเองได้ง่ายๆ ไม่ใช่คิดว่าพวกติดเกมต้องไม่แสดงออก ต้องเนิร์ด ต้องนู๊บ ต้องเกรียน พวกไม่เกรียนก็ติดเกมได้นะครับ แล้วพวกเนิร์ดบางคนมันก็ไม่เล่นเกมเลยก็มี



แล้วเด็กติดเกมมันเป็นยังไง สั้นๆ เลย พวกนี้มีคาแรคเตอร์ที่ว่า ชั้นต้องเล่นเกมเก่งที่สุด!!! แพ้ใครก็ได้ แต่อย่าแพ้เพื่อน!!!



เคยมั้ยครับ เวลาคุยกับกลุ่มเพื่อน ข่มกันเรื่องอะไรก็ข่มได้อ่ะ ยอมหมด เออ เมิงเล่นบอลเก่งกว่า อ่ะ ยอม เล่นบาสเก่งกว่า อ่ะ ยอม เล่นกีต้าร์เก่งกว่า อ่ะ ยอม 



แต่พอบอกกุเล่นเกมเก่งกว่ามึง มึงง่ะอ่อน....อ่อน!!!! โห..... ไม่ยอมโว้ยยย ขึ้นเลย ขึ้นเลย!!!



เอ็งสิอ่อน วันนั้นจอยมันไม่ดีโว้ย!!! วันนั้นกุเล่นจอย2!!! นั่น วัฒนธรรมโทษจอยมาทันที ไม่ยอม ให้ตายยังไงก็ไม่ยอม หนีเรียนไปเจอกันร้านลุงหลังโรงเรียนเลยดีกว่า



นี่เลยครับ มันติดแบบนี้ ไม่ใช่ติดแบบชอบเล่น จะเล่นไปสมัครแฟนพันธุ์แท้อะไรนะ นั่นมันดูดีไปหน่อย มันไม่ดาร์กไซด์ มันออกไปทาง “ยึดติด” ซะมากกว่า



นี่แหละครับ ฮอร์โมนเด็กติดเกม อย่าให้ขึ้นครับ รู้สึกตัวอีกทีมันวาร์ปไปอยู่ร้านลุงแล้ว



แล้วถามผมว่า ไอ้พวกที่มีฮอร์โมนเด็กติดเกมจัดๆ เนี่ย มันเป็นพวกไหน มันจะเป็นพวกเด็กเดินทางสายกลางๆ ครับ ไม่ฝักไฝ่หรือถนัดวิชาด้านไหนเป็นพิเศษ หรือพูดง่ายๆ คือไม่มีอะไรยึดเหนี่ยวนี่แหละ เรียนก็ไม่เก่ง กีฬาก็ได้บ้าง ศิลปะก็นิโหน่ย ดนตรีก็พอถูไถ



อืม..... รู้สึกจะคล้ายๆ ตัวเองยังไงไม่รู้ นั่นแหละ ก็เพราะมันไม่มีอะไรยึดติดนี่แหละ มันถึงต้องมาติดเกมไง เพราะมันตัดสินว่าใครเจ๋งใครอ่อนได้ภายในไม่กี่นาที



แล้วในโรงเรียนๆ นึงนะครับ คนพวกนี้อ่ะมีเยอะ ผมกล้าพูดเลย ไม่งั้นพวกร้านเกมหลังโรงเรียนไม่มีคนเล่น!!! ไอ้พวกที่ไปสุมหัวอยู่ในนั้น ฮอร์โมน “เจโลปี้เตอโลน” พุ่งพล่านด้วยกันทั้งนั้น



ถ้าไม่พุ่งพล่านพวกมันจะนั่งกันเงียบๆ ครับ อมยิ้มคิกคัก สนุกสนานกันอย่างเนิร์ดๆ แต่ถ้าเป็นพวกฮอร์โมนนี่จะสนั่นร้านเลย เอาให้ตายกันไปข้างนึง




อ่ะแล้วถามว่า ไอ้พวกนี้มันมีสาระอะไรมั้ย ตอบเลยไม่มีครับ



แต่มันโดน!!



หรือแต่ถ้าจะให้มีก็ได้ อ่ะ ลองใส่ไอ้พวกเปรตนี่ลงไปในซีรี่ย์ แล้วให้พ่อแม่ดูแล้วเอาไปสอนลูกก็ได้ ว่าอย่าทำแบบนี้นะลูก



เอ่อ.... หรือว่าถ้ามันห้ามไม่ได้นะลูก ก็ขอให้เล่นเกมให้ชนะเพื่อนให้ได้นะลูก ลูกจะได้ไม่เป็นไอ้อ่อน มันน่าอาย มันทุเรศ...... เรียนก็ไม่เก่ง เล่นกีฬาไม่ได้เรื่อง ดนตรีก็ไม่เอาอ่าว จีบหญิงไม่ติด ถ้าลูกยังเล่นเกมแพ้เค้าอีก



ลูกไม่เหลือเหี้ยอะไรเลยนะลูก!!!!



ลูกได้เก็บตัวในกล่องยาวแน่ เออนี่ เอาไปสอนแบบนี้ก็ได้ เพราะถ้าผมมีลูก ผมก็จะบอกมันแบบนี้เหมือนกัน โอเค จบ มีสาระแระ



ทีนี้มาเรื่องแคสติ้ง ถ้ามันมีตัวละครนี้ขึ้นมาจริงๆ จะเอาดาราคนไหนมาเล่น



ส่วนตัวอยากให้เจมส์ จิรายุ ตัดหัวเกรียนแล้วมารับบทนี้ครับ ใส่แว่นด้วยได้ยิ่งดี ทำลายภาพชายหมอให้ป่นปี้ เราจะทำลายแฟนคลับสาวจิ้นที่มีอยู่ แล้วสร้างแฟนคลับขึ้นมาใหม่เป็นพวกเกรียน ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ 



จะบ้าเหรอ ความสมจริงไม่มีเลย อย่างเจมส์ จิ ถ้ามาเล่นฮอร์โมน น่าจะเหมาะกับเด็กเนิร์ดโรคจิตมากกว่า นั่น ยังไม่เลิกแขวะเค้าอีก เจมส์จิไปขี้ใส่ตู้เย็นบ้านแกรึไง



ถ้าเอาโวยวายๆ ชอบท้าเล่นเกม หัวเกรียนๆ ผอมๆ นี่ มีแค่คนเดียวในประเทศ นึกออกคนเดียวจริงๆครับ


“แจ๊ส ชวนชื่น”


ติดปัญหาอย่างเดียวคืออายุแกเท่ากับวัยรุ่น 2 คนรวมกัน ไม่เป็นไร ให้เป็นคาแรคเตอร์เด็กซ้ำชั้น นิดๆ หน่อยๆ ขำๆ ซ้ำแค่ 17 ปีเอง


อายุงานแบบนี้ถือว่าประสบการณ์จัดเลยทีเดียวนะครับ เพราะเราจะสามารถบอกได้ว่า นายคนนี้ ได้ติดเกมมาตั้งแต่สมัยเครื่องอาตาริเลยทีเดียว เรียกว่าเป็นไอดอลสำหรับเด็กทั้งโรงเรียนได้เลย




แถมเรายังเซอร์วิซให้เป็นคู่จิ้นกับสมพงษ์ด้วย คนนึงเรียน อีกคนเล่นเกม ดีมั้ย จะให้ทุกตอนมีฉากล้มทับจ้องหน้ากันในห้องน้ำทุกๆ 5 นาทีเลยทีเดียว อืม ตกลงนี่ออร์โมนหรือเพื่อนกูรักมึงว่ะกันแน่วะเนี่ย



ยัง ยังไม่หมด เราจะให้สไปร์ทมาแอบชอบด้วย และมีอดีตคือเป็นแฟนกับเต้ยสมัยอนุบาล แถมเคยมีเรื่องกับไผ่สมัยอยู่เนอสเซอรี่หมีน้อย เป็นชู้กับพ่อขวัญ เลี้ยงต้อยน้องดาวด้วย


ตกลงการมาของคาแรคเตอร์นี้ มาเพื่อทำลายซีรี่ย์เค้าใช่มั้ยเนี่ย สัสเอ้ย


เอาล่ะ  สุดท้ายเกมเมอร์ทั้งหลายเอ๋ย ใครที่ยังไม่ได้ดูฮอร์โมน ไปหามาดูซะ แล้วคุณจะคิดเหมือนผมว่า ทำไมไม่มีเด็กติดเกม  พวกเรานี่มัน เป็นชนกลุ่มลูกเมียน้อยคนสุดท้องของประเทศจริงๆ



มันน่าน้อยใจ น้อยใจ ชะเอิงเงย..............