วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2559

เกรียนกรึ่มกรึ่ม ตอน ข้าวไข่เจียว


(ต้นฉบับปี 2557)






ย้อนไปเมื่อประมาณต้นปีที่แล้ว  ผมเคยเขียนถึงมาม่า และเหล่ามวลบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป  จนแทบจะชาบูขึ้นหิ้ง ยกตำแหน่งให้เป็นอาหารมหาเทพที่คอยค้ำจุนเกรียนไทยอันดับ 1 ตลอดกาล



จนถึงบัดเดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นที่ 1 อยู่ ซึ่งตอนนั้นยอมรับว่า ผมอวยซะเวอร์หักโหม ประหนึ่งมีหุ้นอยู่บริษัทมาม่าเลยทีเดียว


แต่เอาจริงๆ ผมว่าผู้ท้าชิงอันดับ 2 อย่าง ข้าวไข่เจียวร้อน ๆ ก็ไม่ได้ห่างไกลจากอันดับ 1 มากมายขนาดนั้น


ซึ่งเชื่อว่าวัดกันด้วยกลิ่น  มาม่าอาจชนะเลิศในรัศมีไม่เกิน 10 เมตร แต่ถ้าให้เอา 2 อย่างมาวางอยู่ตรงหน้า  ให้เลือกกินอย่างใดอย่างหนึ่ง ผมว่าไม่แน่  อาจมีพลิกโผ


ลองนึกภาพสถานการณ์จำลอง คุณกำลังเล่นเกมอยู่หน้าเครื่อง พร้อมกับซดมาม่าอย่างเอร็ดอร่อย


แต่ทันใดนั้นเอง ไอ้เครื่องข้างที่ลุกไปไหนก็ไม่รู้เมื่อกี้ กลับมาพร้อมข้าวไข่เจียวร้อน ๆ จานใหญ่ ราดซอสชุ่มฉ่ำ โรยพริกน้ำปลาหน่อยนึง...... เชื่อมั้ย ล้านทั้งล้าน ไอ้มาม่าที่กำลังซด ๆ อยู่ตรงหน้า มันจะดูด้อยวรรณะลงมาทันที ข้าวไข่เจียวจะดูกลายเป็นอาหารกษัตริย์มงเปลลิเยที่ 14.5  ดูน่าแย่งชิง น่าเป็นเจ้าของการย่อยอาหาร 


ถ้าไม่ติดว่าฆ่าชิงทรัพย์ผิดกฎหมาย คงได้มีคนตายเพราะถูกแย่งข้าวไข่เจียวกันบ้าง


จะว่าไปผมกับข้าวไข่เจียว และร้านเกม มันก็ผูกพันกันในระดับนึง จำได้แม่นข้าวไข่เจียวจานแรกที่ได้กินในร้านเกม มาจากความหน้าด้านโดยแท้ 


ตอนนั้นประมาณ ป5 - 6 นี่แหละ ไอ้ผมกับเพื่อนก็นั่งเล่นเกมอยู่ในร้าน ป้าเจ้าของร้านทำกับข้าวอยู่หลังบ้าน  กลิ่นหอมชิบหาย   หอมจนไม่เป็นอันเล่นเกม   ยิ่งวันนั้นเอาเงินค่าก๋วยเตี๋ยวมาเล่นเกมด้วย


ไอ้ 2 ตัวนี่ตาไม่ได้มองจอแล้ว ชะโงกชะเง้อมองแต่หลังบ้าน ผ่านไปสักพัก กับข้าวเต็มโต๊ะ กลิ่นทรมานกระเพาะอาหารมาก แล้วป้าแกกับลูกก็มานั่งกินแบบไม่สนใจสายตาใคร ไอ้ผมกับเพื่อนนี่ทิ้งน้องจอยมาเกาะขอบหน้าต่างแล้ว เกาะเป็นจิ้งจกขอส่วนบุญเลย 


และทันใดนั้นเอง

“หิวเหรอ....?? กินมั้ยลูก เดี๋ยวป้าแบ่งให้”


เหยดดดด  นี่มันเสียงสวรรค์ชัด ๆ ป้าแกช่างใจบุญเหลือเกิน ไม่เสียชื่อที่ตั้งชื่อร้านเกมกิตติมศักดิ์ว่าร้านป้า ถามว่าถึงแม้จะถามเป็นมารยาท และถ้าเราเป็นเด็กดีมีการศึกษา เราก็ควรจะเกรงใจใช่มั้ย แต่เด็กดีมีการศึกษาที่ไหนจะเอาเงินค่าก๋วยเตี๋ยวที่บ้านมานั่งกดเกม 


เรื่องหน้าด้านผมนี่ขั้นเทพมาตั้งแต่เด็ก จะเหลือเหรอ เอาสิครับ ขอบคุณป้ามากๆ ครับ ขอข้าวกับซอสท่วม ๆ จานนะครับ


ว่าแล้วป้าก็จัดไข่เจียวร้อนๆ ใส่จานพร้อมข้าวมาเลย


จากนั้นหน้าเครื่องก็เป็นดั่งสรวงสวรรค์....  การเล่นเกมมีความสุขกว่าเดิม 100 เท่าจากปกติ อาจเป็นเพราะตอนนั้นมันหิวมากๆ ประกอบกับข้าวไข่เจียวอร่อย และประเด็นสุดท้าย..... มันเป็นของฟรี 


ของฟรีมักอร่อยกว่าปกติ 2 - 3 เท่า ไม่เหมือนจ่ายเอง


บางทีที่ผมผูกพันกับมาม่า อาจเพราะมันทำง่าย สั่งง่าย แค่มีชามกับน้ำร้อนก็จบ แต่ความสุขมันหาสู้ข้าวไข่เจียวร้อน ๆ ไม่ได้



ผมว่าถ้าเราเป็นคนไทย ยังไงก็ต้องกินข้าว  เวลาหิวจัด ๆ ข้างหน้ามีพิซซ่าถาดใหญ่ กับข้าวไข่เจียวฟู ๆ สวย ๆ อยู่ข้างหน้า


คนอื่นผมไม่รู้ แต่ผมกระโดดหาข้าวไข่เจียว


ข้าวไข่เจียวจัดว่าเป็นเมนูสำหรับคนไส้แห้งอันดับต้น ๆ ในสายข้าว รองลงมาก็ปลากระป๋อง น้ำพริก นี่แหละคือแก่นแท้ของการกินเพื่ออยู่รอด 



จริง ๆ ผมรู้จักและผูกพันกับข้าวไข่เจียวมาตั้งแต่เด็กมาก ๆ เพราะตอนเด็กกินเป็นแค่อย่างเดียว เพราะพี่เลี้ยงผมตอนเด็กทำกับข้าวเป็นแค่อย่างเดียว ถามว่ากินทุกวันมันอร่อยมั้ย ก็อร่อยนะ แต่รู้สึกตัวเองกระจ๊อก กระจอกยังไงไม่รู้ เพราะไม่รู้จักอาหารชนิดอื่นเลยตั้งแต่อนุบาลยันประถม 


และมาถึงวันนึง จำเหตุการณ์สะเทือนใจได้แม่น


วันปีใหม่มีกินเลี้ยงกันที่โรงเรียน ครูประจำชั้นบอกให้เอาอาหารที่บ้านมาคนละ 1 อย่าง แน่นอนผมไฟท์บังคับอยู่แล้ว ไม่ต้องเลือกเลย ไข่เจียวที่คุ้นเคย 



แต่พอถึงวันจริง ดูกับข้าวเพื่อนคนอื่นในห้อง 
ข้าวหมูแดง!! หมูกรอบ!! ข้าวมันไก่!! ขาหมู!!! ไก่ทอด!!! 

บางคนโชว์พิซซ่าตั้งแต่เด็ก ไอ้เด็กเปรตมึงจะรวยไปไหน แต่ละคนนี่มันอะไรกัน แต่ไฮไลท์ของห้องอยู่ที่เด็กกินผัดกระเพรา ซึ่งเป็นที่ตื่นตะลึงและมหัศจรรย์มากถ้าเด็กคนไหนแดกผัดกระเพราได้ เพราะเด็กส่วนใหญ่กินเผ็ดไม่ค่อยได้  


ครูเห็นนี่แทบจะมอบโล่ มอบเกียรติบัตร เชิญครูใหญ่ สส นายก โคตรเหง้าศักราชมาถ่ายรูปหน้าเสาธงเลยทีเดียว


อ่ะ แล้วให้ทายว่าทุกคนมองไข่เจียวของผมยังไง.......


เชี่ยแม่ง แต่ละคนนี่มองด้วยสายตาเวทนาสุด ๆ ไนท์เด็ก..... นายเติบโตมาในสังคมแบบไหนกันหรือ ทำไมนายกินไข่เจียว พวกเราโตเป็นผู้ใหญ่ประถม 1 กันแล้ว เราเลิกกินไข่เจียวราดซอสมะเขือเทศไปแล้ว 



และที่เจ็บปวดยิ่งกว่า แม่งไม่มีใครสนใจไข่เจียวของผมแม้แต่คำเดียว ในขณะที่คนอื่นสวิงกิ้งกับข้าวกันอย่างสนุกสนาน   ผมนี่นั่งกินข้าวไข่เจียวตาปริบ ๆ ไม่มีใครมาแบ่งไปกินเลย เหมือนจะมีน้ำตาคลอเล็กน้อยด้วย 


สุดท้ายก้อทนไม่ไหว ต่อมน้ำตาแตกนั่งร้องไห้อย่างน่าสงสารสุดๆ (ผมเชื่อว่าคนอ่านหลายคนร้องไห้ตาม เพราะมันสะเทือนใจจริงอะไรจริง)


แต่ที่น่าแปลกใจคือ พอเราเข้าสู่รั้วมหาลัย สถานการณ์ของความเป็นข้าวไข่เจียวดันพลิกกลับ 



จากเมนูสุดมืดมนในวัยเยาว์ ข้าวไข่เจียวกลายเป็นสุดยอดอาหารเรืองแสงในชั่วโมงเร่งด่วน ชั่วโมงทำงาน หรือเวลาที่สมองอุดตันคิดอะไรไม่ออกขึ้นมาซะยังงั้น


และยิ่งอยู่ด้วยกันเป็นหมู่คณะนะครับ แบบว่ากำลังสาละวนทำรายงาน หรือเล่นเกมกันอย่างบ้าคลั่งจนเลยเวลากินข้าว  อย่าได้มีใครเปิดก่อนเชียว   มีตามมากกว่าหนึ่งแน่นอน


แล้วมันไม่รู้เป็นอะไร ไอ้คนเปิดมักเดินไปเปิดแบบลับ ๆ ไปแอบสั่งหรือแอบไปทอดเองตอนไหนไม่รู้   รู้สึกตัวกันอีกทีก็ฟูฟ่องมาพร้อมกลิ่นหอมอำมหิตวางที่โต๊ะแล้ว 



ที่เหลือก็แทบจะทิ้งเม้าส์ทิ้งจอยลุกไปสั่งพร้อมกันเลยทีเดียว


เฮ้ย!! กูด้วย!!

2 เลย!!!

เฮ้ย 3 เลย!!!

มึงทอดเผื่อทุกคนเลยสัส!!!! ทอดให้แม่งหมดลังเลย


บางร้านบริการตัวเองนะครับ จ่ายเงินแล้วไปทอดกันเอง ใครเสร่อออกตัวว่าทอดไข่เก่งล่ะก็ มึงไม่ต้องกลับมาที่เครื่องแล้วล่ะ ยืนตีไข่ทอดไข่อยู่ตรงนั้นเลย โหดร้ายมาก


ข้าวไข่เจียวถือเป็นเมนูล่องหนในร้านเกม หรือร้านเน็ต  เป็นเมนูที่เราไม่เคยเห็นรายการเมนู  แต่มันมีอยู่จริง ขอเพียงความกล้าที่จะปรารถนาจะแดก แต่ก็ต้องดูเจ้าของร้านด้วย ถ้าเป็นป้าเป็นลุงใจดี ๆ ลองเจรจาเลย  แต่ถ้าเป็นสก๊อยหน้าตาขี้เกียจ  ก็ฝันไปเถอะว่าจะได้กิน


จากนั้นมาเมนูข้าวไข่เจียวก็ถือว่าเป็นเมนูอมตะนะครับ เป็นเมนูที่คลาสสิคและไม่มีวันตายจนถึงบัดเดี๋ยวนี้ ตราบใดที่คนไทยยังมีช่วงเวลาเร่งรีบ และนิสัยสิ้นคิด 



บางคนไม่รีบ ไม่สิ้นคิด แต่กินเพราะคิดถึง ตั้งใจจะเสพความอร่อยของมันจริง ๆ ก็มี


และความทรมานอย่างหนึ่งของผมตอนนี้ก็คือ ต้องเขียนคอลัมน์นี้ไปพร้อมกับคิดถึงไข่เจียวไปด้วยตลอดเว


และอย่าแปลกใจครับว่า เมื่ออ่านคอลัมน์ตอนนี้จบแล้ว คุณอยากจะหาข้าวไข่เจียวสักจานมากินหน้าคอม


ไข่เจียวสักจานมั้ยสัส !!!




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น